ไทเฮามองตรงมาที่ฮ่องเต้ มือคลึงเม็ดประคำแล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ตามความเห็นของข้า เรียกอู่หลิงอ๋องกลับมาเมืองหลวงเถอะ”
อู่หลิงอ๋องเป็นพระนัดดาของไทเฮา เนื่องจากมีความดีความชอบทางด้านการศึกจึงได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องต่างสกุล* เขามีผลงานด้านการทำศึกอย่างโดดเด่น ทั้งยังมีใจรักต่อราษฎร แล้วมีหรือที่เซี่ยหมิงกวงจะยอมให้คนที่โดดเด่นเช่นนี้อยู่ใกล้ตัวเขาได้ เมื่อสองสามปีก่อนตอนที่ทั่วหล้าสงบสุขดี เซี่ยหมิงกวงก็ยังหาเหตุมาผลักไสเขาไปไกลถึงชายแดน พอไทเฮากล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็เข้าใจได้ในทันที
“หมายความว่าเสด็จแม่จะให้อู่หลิงอ๋องกลับมาสยบสกุลเซี่ย?”
แต่ก่อนไทเฮาเคยออกว่าราชการหลังม่าน พระนางไม่เคยจัดการงานปกครองด้วยหัวใจที่คับแคบมาก่อนเลย จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “แม้เซี่ยหมิงกวงใกล้ตาย แต่ก็ยังมากอำนาจอยู่ เวลานี้ยังจัดการเขาอย่างเด็ดขาดมิได้ แผนการในตอนนี้คือหาฝ่ายที่มีอำนาจพอๆ กันมาคอยฉุดรั้งเขาไว้ก่อน ไม่เพียงแค่สกุลเซี่ยเท่านั้น กระทั่งตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ ก็จะได้ยำเกรงด้วย”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอย่างรอบคอบก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
วันถัดมาหลังจากเข้าเฝ้าแล้ว เซี่ยหมิงกวงก็ล้มป่วยหนักจำต้องพักรักษาตัว ตำแหน่งอัครเสนาบดีจึงเปลี่ยนไปให้เซี่ยซูหลานชายของตนมารับช่วงต่อแทน ทั้งยังควบตำแหน่งลู่ซั่งซูซื่อ ขณะเดียวกันก็มีราชโองการเรียกตัวอู่หลิงอ๋องเว่ยอี้จือให้กลับมาเมืองหลวง และแต่งตั้งเป็นต้าซือหม่า
เซี่ยหมิงกวงราวกับวางก้อนหินที่ถ่วงอยู่ภายในใจลงได้ เขานอนพักบนเตียงในยามค่ำคืนได้อย่างวางใจพร้อมจะทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว
เซี่ยซูคุกเข่าอยู่ข้างเตียง คอยฟังคำสั่งเสียสุดท้าย แต่ด้วยปากของท่านผู้เฒ่าอ้าๆ หุบๆ พูดออกมาไม่ชัด เซี่ยซูจึงได้แต่ชะโงกใบหน้าและเอียงหูเข้าไปใกล้
“จงจำไว้…จนตายก็อย่าให้พวกเขารู้ว่า…เจ้าเป็น…เป็น…”
เซี่ยซูกุมมือท่านผู้เฒ่า เอ่ยรับปากด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ท่านปู่วางใจเถอะ หลานจะคอยรัดหน้าอกไว้ทุกวัน”
“เจ้า!” ท่านผู้เฒ่าถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ เป็นชนชั้นสูงแล้วยังใช้คำพูดคำจาเช่นนี้อีก ไม่รู้จักอ้อมค้อมเสียบ้างเลย!
สุดท้ายแล้วท่านผู้เฒ่าก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องสำคัญอย่างครอบครัวหรือบ้านเมือง ทั้งไม่ได้เอ่ยถึงความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อคนในครอบครัว แต่กลับใช้ประโยคที่ว่า “จากนี้ไปห้ามเอ่ยถึงการรัดหน้าอกอีก” เป็นคำบอกลาก่อนตาย…
แผ่นดินราวกับเสียแขนไปหนึ่งข้าง ผู้คนต่างร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
ฮ่องเต้ร่ำไห้แค่เล็กน้อยพอเป็นพิธี ทั้งยังเขียนคำไว้อาลัยด้วยพระองค์เอง ทุกถ้อยคำแฝงด้วยความสะเทือนใจ ลึกล้ำเสียจนผู้คนต้องหลั่งน้ำตา จากนั้นยังมีรับสั่งให้รีบไปตัดชุดขุนนางให้แก่อัครเสนาบดีคนใหม่ด้วย
เซี่ยซูกัดฟันรัดหน้าอก แล้วหยิบชุดขุนนางสีดำแขนกว้างมาสวม เกล้าผมเรียบร้อยครอบทับด้วยหมวกยศ แล้วเดินไปยังโถงกลางของจวนอัครเสนาบดี สมาชิกสกุลเซี่ยพร้อมด้วยเหล่าที่ปรึกษาของจวนพร้อมใจกันมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“คารวะท่านอัครเสนาบดี!”
นับตั้งแต่สกุลเซี่ยได้ยึดกุมอำนาจราชสำนักแห่งอาณาจักรต้าจิ้นไว้นานหลายปี ในที่สุดก็มาถึงยุคที่จะได้รุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิมแล้ว เพราะยามนี้สกุลเซี่ยถึงกับมีอัครเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งนับแต่ก่อตั้งอาณาจักรมา
รอบข้างเงียบงัน ทว่าไหล่ของอัครเสนาบดีคนใหม่กลับลู่ลง
แรงกดดันช่างมากมายเหลือคณา…