อากาศร้อนจนแทบจะร้องขอชีวิต มู่ไป๋บิดผ้าผืนหนึ่งจนหมาดส่งให้เซี่ยซูเช็ดใบหน้า พลางพูดอย่างกระหยิ่มใจ “ชื่อเสียงคุณชายขจรขจายไปทั่วเมืองหลวงแล้วนะขอรับ ตามความเห็นของบ่าว บัดนี้ผู้ที่มีชื่อเสียงพอสูสีกับท่านได้ เห็นจะมีเพียงอู่หลิงอ๋องผู้เดียวเท่านั้น”
เดิมทีเซี่ยซูยังมีท่าทางกระตือรือร้นอยู่ พอได้ยินชื่อนี้แล้วนางก็ทำหน้าหน่ายทันที
บัดนี้อู่หลิงอ๋องกุมกำลังทหารทั่วหล้าไว้เกือบครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ฮ่องเต้ก็มีพระราชโองการเรียกตัวเขากลับมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเจตนาดีแน่
เรื่องนี้ต้องโทษท่านปู่ของนางแล้ว ตอนนั้นไม่ควรขับอู่หลิงอ๋องออกจากเมืองหลวงเลย ทั้งยังจงใจขับคนออกไปตอนที่เขาใกล้จะได้เข้าพิธีแต่งงานด้วย
ด้านหนึ่งอู่หลิงอ๋องถูกขับออกไปไกลถึงชายแดน อีกด้านเจ้าสาวก็มาเจ็บป่วยจนเสียชีวิตไป ใครๆ ต่างก็พูดว่าท่านปู่ของนางทำให้สองคนนั้นต้องพรากจากกันชั่วชีวิต อู่หลิงอ๋องไม่เคียดแค้นสกุลเซี่ยก็แปลกแล้ว!
เซี่ยซูหยิบพัดจีบมาโบกแรงๆ ยามนี้เหงื่อชุ่มโชกศีรษะนางไปหมดแล้ว ก่อนจะพูดกับมู่ไป๋ “อีกประเดี๋ยวให้จัดหาของขวัญส่งไปยังจวนต้าซือหม่าด้วย”
มู่ไป๋เป็นคนที่เซี่ยหมิงกวงเลือกมาด้วยตนเอง มีใจภักดีต่อสกุลเซี่ยเป็นที่สุด แต่ไรมาสกุลเซี่ยล้วนวางอำนาจจนเคยตัวแล้ว พอเขาได้ยินเช่นนี้จึงเบ้ปากทันที “คุณชายจะทำอะไรขอรับ ท่านเกรงกลัวเขาด้วยหรือ”
เซี่ยซูหุบพัดแล้วเคาะศีรษะเขาไปทีหนึ่ง “ด้ามพู่กันหรือจะขวางคมหอกคมดาบได้ อย่าพูดจาเหลวไหล รีบไป!”
เรื่องที่อู่หลิงอ๋องจะกลับเมืองหลวงแพร่สะพัดไปทั่วนานแล้ว บัดนี้กลายเป็นหัวข้อพูดคุยในหมู่ชาวบ้าน หัวใจของหญิงสาวที่ยังไม่เคยถูกเซี่ยซูขโมยไปจึงจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ เวลานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงพากันตื่นเต้น
ไม่กี่วันมานี้ จู่ๆ ดวงอาทิตย์อันร้อนแรงหาใดเปรียบก็เคลื่อนคล้อยหลบเร้นไป เมืองเจี้ยนคังพลันได้รับสายลมเย็นสบายแห่งวสันต์กลับคืนมา คณะเดินทางของอู่หลิงอ๋องก็จำเพาะต้องเดินทางมาถึงนอกเมืองในช่วงเวลานี้อย่างพอดิบพอดีอีก
ชาวบ้านต่างพากันสรรเสริญ สมแล้วที่เป็นอู่หลิงอ๋อง เพียงเหยียบย่างกลับมา แม้แต่อากาศก็ยังกลับมาสดใส!
เซี่ยซูที่พอได้ยินเรื่องนี้ก็กางพัดจีบในมือแล้วโบกพัดแรงขึ้น จะบ้าตาย เจ้าอู่หลิงอ๋องผู้นี้ครองใจชาวเมืองไปก็ช่างเถอะ นี่เขายังกลับมาได้ถูกเวลาอีก ยิ่งทำให้ข้าดูเป็นขุนนางเจ้าเล่ห์จอมอันธพาลมากขึ้นไปอีก แรงสนับสนุนจากชาวเมืองพลันลดน้อยถอยลงไปด้วย!
วันที่อู่หลิงอ๋องเข้าเมืองมา ถนนหนทางในเมืองล้วนถูกสาดด้วยสุราจนสะอาดสะอ้าน สองข้างทางต่างมีผู้คนมายืนออเบียดเสียดจนแน่นขนัด
มีคนและม้ากลุ่มหนึ่งมุ่งเข้าเมืองมาก่อน ธงมังกรและธงอักษร ‘เว่ย’ ชูขึ้นสูงเพื่อเปิดทาง จากนั้นจึงตามมาด้วยกองทหารที่ยิ่งใหญ่เป็นระเบียบ ผู้ที่ขี่ม้านำหน้าสวมชุดชาวหู แขนกระชับ คิ้วเข้มดวงตาวาววาม เบื้องหลังมีรถเทียมม้าอย่างดีสี่ตัวตามมา
ชาวบ้านต่างคาดเดากันไปว่าคนบนหลังม้าน่าจะเป็นอู่หลิงอ๋อง ส่วนคนที่นั่งในรถม้าก็คงเป็นเซียงฮูหยินมารดาของเขา ทว่าเหตุใดมองดูแล้วกลับรู้สึกว่าคนบนหลังม้ากลับไม่น่าใช่อู่หลิงอ๋องเล่า
อู่หลิงอ๋องเว่ยอี้จือเกิดมาหล่อเหลางดงามดุจไข่มุกคล้ายหยก ยามเยื้องย่างผ่านตามทางล้วนดึงดูดผู้คนให้เหลียวมอง แล้วก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าคนบนหลังม้าตรงหน้านี้แม้จะดูดีไม่น้อย แต่เจี้ยนคังแห่งนี้ถือเป็นเมืองหลวง มีชายงามประเภทใดบ้างที่ไม่มี เขาจึงดูไม่งามสมกับที่เล่าลือกันสักนิด
ชาวบ้านรวมกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์…
“หรือว่าบัดนี้ร่างกายของอู่หลิงอ๋องทรุดโทรมเสียแล้ว”
“จะเป็นไปได้อย่างไร! ข้าว่าอู่หลิงอ๋องคงจะหวาดกลัวต่ออำนาจของท่านอัครเสนาบดีแน่ๆ จึงไม่กล้ากลับมา”
“ผู้ใดกัน!” ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดของหญิงสาวดังขึ้นมา “ใครกล้าว่าร้ายท่านอัครเสนาบดีของข้า! ข้านี่แหละจะเชือดมันให้ตายเลย!”