“มานี่” ท่านผู้นั้นส่งเสียงอีกครั้ง
จือจือตั้งใจจะลุกขึ้น ทว่าแข้งขาอ่อนแรงเสียจนลุกไม่ไหว นางใช้มือยันพื้นพยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จนแทบร้องไห้ออกมาด้วยความร้อนใจ
ทำอย่างไรดีนะ ‘นาง’ จะต้องฆ่านางแน่ๆ
ตายแน่แล้ว!
ต้องตายแน่แล้ว!!!
“ตื่นเต้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เสียงฝีเท้าดังมากระทบหู
“ทำไม ข้าน่ากลัวกว่าผีอีกหรือไร”
มือเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งข้างหนึ่งพลันเอื้อมมาจับคางนาง จือจือเงยหน้าขึ้น จากนั้นใบหน้างดงามก็สะท้อนลงมาในดวงตา
ใครก็ตามที่เพิ่งเคยเห็นใบหน้านี้เป็นครั้งแรกจะต้องถูกสะกดจนตะลึงงัน เพราะทุกอณูเหมือนถูกสวรรค์บรรจงสลักเสลาขึ้นมาอย่างประณีต ไม่ว่าจะเป็นนัยน์ตาที่ราวกับซุกซ่อนอะไรต่อมิอะไรมากมายเอาไว้ หรือกลีบปากแดงสดประหนึ่งดื่มโลหิต
ดวงตาคู่นั้นช่างงามแท้ เห็นว่ามารดาขององค์หญิงมีสายเลือดชาวหูนัยน์ตาขององค์หญิงจึงไม่ได้เป็นสีดำสนิท แต่เป็นสีชาสุกใสราวกับลูกแก้ว เนื่องจากต้องปลอมเป็นหญิง เจ้าตัวจึงจำต้องแต่งหน้าแต่งตัวอย่างสตรี เป็นต้นว่าคิ้วที่เรียวยาวเย้ายวน ใต้คิ้วซ้ายยังมีไฝแดงเม็ดหนึ่ง เหมือนช่างวาดเผลอทำสีหยดใส่ ทว่าก็เหมาะเจาะกลมกลืนและช่วยเสริมความงามให้ใบหน้านี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อ ‘นาง’ กลับคืนสู่ตัวตนที่เป็นชายก็ถูกโจมตีจากคนไม่น้อยว่าเป็นครึ่งชายครึ่งหญิง
‘นาง’ ได้แต่ใช้เลือดคนพวกนั้นมาล้างถ้อยคำสบประมาท
ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด คนที่อยู่ตรงหน้าก็ทั้งงดงามและอำมหิตเสมอ ‘นาง’ มีรูปกายที่สวรรค์ประทานความรักให้อย่างล้นเหลือ แต่หัวใจกลับเป็นสีดำสนิท
ความจริงจือจือเห็นใบหน้านี้มาจนชิน แม้ในยามที่เจ้าของแต่งกายเยี่ยงบุรุษก็เช่นกัน
ยามแต่งกายเป็นชาย ‘นาง’ ดูแตกต่างกว่าตอนสวมชุดสตรีเป็นคนละคน แม้จะยังงามล้ำเหมือนเก่า แต่ไม่ใช่ความงามที่มองแล้วเข้าใจผิดว่าเป็นสตรีแต่อย่างใด เพราะแววตาอิตถีเพศไม่มีทางเหี้ยมโหดดุดันเยี่ยง ‘นาง’ ได้
ฝ่ายตรงข้ามเป็นปีศาจร้ายที่ยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง และน่ากลัว ขณะที่จือจือเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ เท่านั้น
ในสายตานาง ใบหน้างดงามดวงนี้น่ากลัวยิ่งกว่าใบหน้าผีร้ายที่จ้องจะเอาชีวิตคนด้วยซ้ำ
“หน้าตาไม่เลวนี่” องค์หญิงใช้ปลายนิ้วลูบไล้คางนาง “โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้”
เมื่อปลายนิ้วลากขึ้นมาถึงหางตา จือจือก็กลั้นหายใจอย่างห้ามไม่อยู่
‘นาง’ อมยิ้มตรงมุมปาก แสงประหลาดเป็นประกายวาบในดวงตา ราวกับว่าจือจือเป็นของเล่นแสนสนุกที่ดึงความสนใจของ ‘นาง’ ได้อยู่หมัด
“ดวงตาคู่นี้น่ะหรือที่เห็นผี” เสียงของ ‘นาง’ แผ่วเบายิ่งนักเมื่อเอ่ยคำว่า ‘ผี’ หากไม่เพราะจือจืออยู่ใกล้แค่นิดเดียวคงได้ยินไม่ถนัด
จือจือกลัวจนทนไม่ไหว น้ำตาเริ่มเอ่อออกมาคลอเบ้าแล้ว นางไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น เหมือนหากขยับปากพูดจะต้องตายทันที อันที่จริงตอนเป็นผี นางกลัวแค่มังกรทองตัวน้อยบนศีรษะอีกฝ่ายเท่านั้น ส่วนเจ้าของมังกรมองไม่เห็นนางและไม่มีทางทำร้ายนางได้อีก เพราะนางตายไปแล้ว แต่เวลานี้นางได้กลับมาเป็นคนอีกครั้ง มองมังกรทองตัวน้อยไม่เห็นอีกต่อไป ต้นเหตุความหวาดกลัวของนางคือฝ่ายตรงข้ามต่างหาก
ทันใดนั้นองค์หญิงก็ชักมือกลับไปแล้วผินหลังให้ “น่าเบื่อ”
“องค์หญิง จะทรงให้ส่งตัวนางกลับไปหรือไม่เพคะ” เสียงกงหมัวมัวพลันดังขึ้น
ที่แท้กงหมัวมัวยังไม่ออกไป
องค์หญิงยืนหันหลังให้จือจือ สักพักถึงค่อยตอบว่า “ไม่ต้อง ให้นางอยู่เฝ้าไข้ต่อ เจ้าออกไปก่อนไป”
“เพคะ”
ประตูตำหนักถูกเปิดออกแล้วปิดลงดังเดิม
“เจ้าชื่อจือจือหรือ ใช้จือตัวใด”
เด็กสาวพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ แล้วตอบเสียงแหย “จือในคำว่าจือหมาที่แปลว่าเมล็ดงาเพคะ”
“…” องค์หญิงหมดคำพูดไปในทันใด
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 64)