เมื่อร่างกายสดชื่นขึ้นเล็กน้อย เฮ่อหลันฉือก็วิ่งไปฝึกยิงธนูด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
ลู่อู๋โยวเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าใจเย็นสักนิดเถอะ”
เฮ่อหลันฉือยกคันธนูขึ้นเล็งแล้วพูดว่า “ข้าก็ค่อยเป็นค่อยไปทีละอย่างนะ” นางคิดสักครู่จึงพูดว่า “…เจ้ามาประลองกับข้าเถอะ”
ลู่อู๋โยวแทบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา ไหล่ของเขาสั่นเบาๆ “คุณหนูเฮ่อหลัน เจ้ายังสติแจ่มชัดอยู่หรือไม่”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างไม่ค่อยเก้อเขินเท่าไร “เจ้าให้ข้าพึ่งพาเจ้ามากสักนิดมิใช่หรือ และเจ้าดูแล้วก็…”
ว่างมาก
ตั้งแต่ลู่อู๋โยวตัดสินใจรับภารกิจอัญเชิญราชโองการไปที่อี้โจวก็ไม่จำเป็นต้องไปที่สำนักราชบัณฑิต หลายวันนี้จึงมีเวลาว่าง เขากำลังรอหนังสือนำทางและราชโองการมาถึง ตอนนี้มีเพียงเก็บสัมภาระเดินทาง
แต่คิดไม่ถึงว่าลู่อู๋โยวยังไม่ทันเดินทางฮวาเว่ยหลิงก็มากล่าวลาเสียก่อน
“ข้าอยู่ที่นี่นานมากแล้ว ท่องเที่ยวไปทั่วเมืองหลวงพอสมควรแล้วด้วย” นางกลับไปสวมชุดดำเหมือนตอนที่มาถึง รวบผมยาวเรียบร้อย ข้างแก้มเห็นลักยิ้ม ดูแล้วน่ารักสดใส “รบกวนพี่ชายกับพี่สะใภ้มานานเพียงนี้ ทางด้านผู้อาวุโสก็เขียนจดหมายมาเร่งพอดี ข้าจะกลับไปก่อนแล้วกันนะ ครั้งหน้าค่อยมาใหม่”
พูดมาถึงเพียงนี้แล้วพวกเขาย่อมไม่สะดวกจะรั้งตัวอีกฝ่ายไว้อีก
เฮ่อหลันฉือชอบน้องสาวของสามีคนนี้มาก ถึงแม้จะ…ทำให้คนอื่นเป็นห่วงได้ง่ายมากก็ตาม
นางกำลังคิดจะพูดกำชับสักสองประโยคก็เห็นฮวาเว่ยหลิงดึงตัวนางไปด้านข้างแล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ตอนที่ข้าเพิ่งมาท่านดูเหมือนยังไม่ค่อยชอบพี่ชายข้านัก ตอนนี้เล่า ชอบเขามากขึ้นสักนิดหรือไม่ พี่ชายข้าเป็นคนไม่เลวจริงๆ นะ และพวกท่านก็อย่างนี้อย่างนั้นกันแล้ว…”
เฮ่อหลันฉือแก้มแดงเรื่อ รู้สึกจนปัญญา ก่อนหน้านี้ลู่อู๋โยวทำอะไรตามใจทุกที่ทุกเวลาจริงๆ ไม่รู้ว่าถูกฮวาเว่ยหลิงเห็นเข้ากี่ครั้งแล้ว
“ข้า…” นางไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไร เบนสายตาไปก็เห็นร่างสูงสง่าของลู่อู๋โยวยืนอยู่ไม่ไกล กำลังกระซิบพูดอะไรบางอย่างกับชิงเยี่ยด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ ดวงตายกโค้ง ริมฝีปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย ใบหน้ากระจ่างใสราวกับน้ำที่ไร้ฝุ่นผง
ฮวาเว่ยหลิงเห็นดังนั้นก็ยิ้มหวานแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว!”
เฮ่อหลันฉือนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ทันใด “เจ้าไปแล้ว คุณชายมู่ผู้นั้นจะทำอย่างไร”
“อ้อ เขาไม่มีที่ไป ดูเหมือนวางแผนจะไปกับข้า”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
เจ้าก็วางใจเกินไป!
คุณชายมู่ผู้นั้นขาดแต่เพียงเขียนคำว่า ‘ลอบวางแผนชั่วร้าย’ ไว้บนใบหน้าเท่านั้นแล้ว!
เห็นพวกนางพูดคุยกันพอสมควรแล้วลู่อู๋โยวก็เดินมาหา “เว่ยหลิง เจ้าจะกลับไป พาคนไปด้วยไม่สะดวกหรอก ข้าจะจัดเตรียมที่ไปให้คุณชายมู่เอง เขาอยากเป็นจอมยุทธ์มิใช่หรือ ส่งเขาไปที่บ้านภูเขาถิงเจี้ยนเสียเลย ทุกวันตื่นยามอิ๋น* นอนยามซวี** หนึ่งวันฝึกกระบี่หกเจ็ดชั่วยาม รับรองว่าไม่ช้าเขาก็สามารถ…” ลู่อู๋โยวอมยิ้มพูดว่า “บรรลุดังใจปรารถนา”
เฮ่อหลันฉือรู้ได้ทันทีว่าเหตุใดเมื่อครู่ตอนที่เขาปรึกษากับชิงเยี่ยจึงยิ้มเช่นนั้น
ฮวาเว่ยหลิงยังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “นี่ลำบากเกินไปหรือไม่…”
“บรรลุตามใจปรารถนาล้วนเป็นเรื่องลำบาก ตอนที่ข้าเรียนหนังสือก็ลำบากมากเช่นกัน ข้าส่งคนไปบอกเขาแล้วด้วย…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูดของลู่อู๋โยวก็เห็นคุณชายมู่ผู้นั้นฝีก้าวโซเซ มือทาบอกเดินออกมาจากในห้อง ผมเผ้าของเขาดูยุ่งเหยิง ดวงตาฉายแววเจ็บปวด กัดริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยปากเหมือนได้รับบาดเจ็บอย่างยิ่ง
“ถ้าแม่นางฮวาคิดว่าข้าขัดตา ข้าไปเองก็ได้ ไม่ต้องรบกวนแม่นางแล้ว แต่บุญคุณช่วยชีวิตของแม่นาง ข้าน้อยชาตินี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะมีโอกาสได้ตอบแทนอีก…”
ฮวาเว่ยหลิงเกาศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าขัดตา ก็แค่…”
มู่หลิงยิ้มเศร้า “เป็นเพราะบทละครเขียนเสร็จแล้ว ข้าก็ไร้ประโยชน์แล้วหรือ”
ครั้งล่าสุดที่เฮ่อหลันฉือเห็นสภาพบุรุษที่น่าเวทนาเช่นนี้คือตอนที่ลู่อู๋โยวแสดงบทกระอักเลือดให้องค์หญิงเสาอันดูบนรถม้า
ลู่อู๋โยวมีท่าทีต่อต้านเต็มเปี่ยมดังคาด “คุณชายมู่พูดอะไรกัน น้องสาวข้าท่องยุทธภพ พาเจ้าไปด้วยเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย พวกเราคำนึงถึงตัวเจ้านะ”
บนแก้มละมุนละไมของมู่หลิงปรากฏรอยยิ้มเศร้า “ช่างเถอะ ขอบคุณใต้เท้าลู่ที่หวังดี แต่ว่าข้าหาที่สักแห่งใช้ชีวิตที่เหลือของข้าดีกว่า”
เขาหมุนกายกำลังคิดจะเดินจากไป เท้าของฮวาเว่ยหลิงก้าวไปหนึ่งก้าวก็ได้ยินลู่อู๋โยวเอ่ยขึ้นอีก
“ถ้าเจ้าพูดคำจากใจจริงสักประโยค ข้าอาจจะไม่คิดไล่เจ้าไปจากข้างกายน้องสาวข้า”
มู่หลิงชะงักฝีเท้า
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงหันหน้ามายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ใจข้ากระจ่างใส ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ข้ารู้ มีเพียงเว่ยหลิงไม่รู้ อย่างน้อยความรู้สึกนี้ไม่เคยเสแสร้ง ใต้เท้าลู่ก็ทุกข์ใจเพราะรักมาระยะหนึ่งเช่นกันมิใช่หรือ ย่อมรู้จิตใจของข้าดี”
ลู่อู๋โยวยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ชอบเสแสร้งเช่นเจ้า”
“อันที่จริงมีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะพูดมากเช่นกัน” มู่หลิงหยิบกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ยื่นให้ลู่อู๋โยวแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าลู่ ลองดูสิ”
ลู่อู๋โยวรับมาดู แล้วมู่หลิงก็จากไป ผ่านไปครู่หนึ่งเฮ่อหลันฉือก็ถามอย่างสงสัยว่า “เขาเขียนอะไรหรือ”
ลู่อู๋โยวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ความคิดเหลวไหลไร้ประโยชน์”