ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 21
นอกห้องฝนที่เคยตกอย่างต่อเนื่องเมื่อหลายวันก่อนเริ่มกลับมาตกอีกแล้ว ระยะนี้อากาศดูเหมือนจะไม่ค่อยดี
กว่าเฮ่อหลันฉือจะช่วยดอกเบญจมาศกลับมาได้ไม่ง่ายเลย กิ่งดอกที่เพิ่งบานฟื้นตัวได้ไม่กี่วันก็ถูกน้ำฝนชะล้างอีกครั้ง แต่ฝนครั้งนี้หาได้น่ากลัวลมแรงโหมกระหน่ำเช่นครั้งก่อน ไม่ได้ทำลายดอกเล็กที่เป็นดอกตูมรอบานเหล่านั้นจนน่าเวทนามากเกินไป
ฝนตกต่อเนื่องทั้งคืน ดูเหมือนไม่คิดจะหยุดแม้แต่น้อย สุดท้ายดอกเบญจมาศหลายดอกก็ยังคงร่วงเฉาอยู่ตรงนั้น
เฮ่อหลันฉือฟังเสียงฝน รู้สึกว่าลู่อู๋โยวเหมือนจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นางอยากเอ่ยถามอย่างยิ่งว่าเขาฝึกฝนจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร สิบกว่าปีให้หลังนางจะมีหวังจริงๆ หรือ
ตอนแรกที่ถูกลู่อู๋โยวยกเข่าขึ้น นางยังคิดจะนับว่าทำไปกี่ครั้ง อย่างไรเสียครั้งก่อนก็นับได้ไม่ชัดเจน ผลลัพธ์ตามจริงคือในไม่ช้านางก็ไม่มีแรงทำเช่นนั้นแล้ว
ตอนตัวของนางถอยหลังจนเกือบจะชนเสาเตียง ลู่อู๋โยวก็ตัดสินใจช้อนอุ้มนางขึ้นมา เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหว กัดไหล่ของเขาไปทีหนึ่งจริงๆ
ลู่อู๋โยวยังหัวเราะ พูดอย่างมีความสุขเป็นพิเศษ “เจ้ากัดแรงอีกนิด ข้าก็จะเพิ่มแรงอีกนิด”
ท่ามกลางเสียงร้องครางอย่างสติแทบแตกของนาง ลู่อู๋โยวก็ทำอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ผิดคำพูดแม้แต่น้อย
ในไม่ช้าสองคนที่เพิ่งอาบน้ำมาก็มีเหงื่อท่วมกายทั้งคู่ เฮ่อหลันฉือแทบจะยืดเอวไม่ได้แล้ว ลู่อู๋โยวยังหายใจหอบพูดข้างหูนาง
“เจ้าจะเรียก ‘ใต้เท้าลู่’ อีกสักสองครั้งได้หรือไม่…คุณหนูเฮ่อหลัน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าสรรพนามนี้ไม่เลวนัก”
เฮ่อหลันฉือไม่รู้สึกเช่นนั้น นางตัวโงนเงน เกิดความคิดหุนหันอยากจะข่วนเขา นางเค้นเสียงออกมาตามไรฟันอย่างยากลำบาก
“ลู่จี้อัน เจ้าเอาแค่พอสมควรเถิด!”
ลู่อู๋โยวส่งเสียงหัวเราะอีกครั้งท่ามกลางเสียงดังหยาบโลนรอบข้าง แสดงถึงความสำราญที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูดออกมาหลายส่วน
“…ก็ได้ ข้าจะรีบ”
สุดท้ายตอนที่เส้นผมของคนทั้งสองเกี่ยวพันกันนิ่งอยู่บนเตียง เฮ่อหลันฉือไม่อยากแม้แต่จะพูดแล้ว นางได้แต่หายใจหอบ เสียงที่แผ่วเบาแหบแห้งขึ้นมาอีกหลายส่วน
ลู่อู๋โยวเหมือนยังอยากแนบชิดกันอีกครั้ง
ตอนนี้เฮ่อหลันฉือรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย พูดอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ลู่อู๋โยวจับผมปอยหนึ่งของนางขึ้นมาพันบนนิ้วมือแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ เจ้านอนเถอะ ข้าไม่แตะต้องเจ้าแล้ว…อย่างไรเสียข้าก็จะจากไปแล้ว เจ้าอภัยข้าสักนิด วันหน้าไม่ถึงขั้น…ไร้ขีดจำกัดเช่นนี้แน่นอน”
เฮ่อหลันฉือจำไม่ได้เช่นกันว่าข้างนอกเป็นยามใด จำได้เพียงเสียงเคาะบอกเวลาดูเหมือนจะผ่านไปหลายรอบแล้ว
นางหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ปล่อยให้ลู่อู๋โยวจุมพิตอย่างแผ่วเบาตรงแก้มของนางและเนินไหล่ซอกคอที่ไร้อาภรณ์อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากร่างกายฟื้นขึ้นมาเล็กน้อยก็เริ่มรู้สึกเขินอายอีกครั้ง นางจึงขยับมือไปผลักศีรษะของเขา หันหน้าแนบลงบนหมอนแล้วพูดด้วยเสียงงัวเงียอย่างยิ่ง
“…นอนเถอะ”
“เจ้านอนเถอะ ข้ายังไม่ง่วง”
เฮ่อหลันฉือขยับริมฝีปากพูดอย่างยากลำบาก “เจ้าออกจากบ้านได้สายที่สุดก็ยามเฉิน ข้ายังต้องไปส่งเจ้าอีก นอนเถอะ”
“ข้าจะนอนระหว่างทาง”
เฮ่อหลันฉือไม่มีกำลังจะสนใจเขาจริงๆ พอปิดเปลือกตาก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เพราะมีเรื่องในใจ นอนหลับได้เพียงไม่นานก็ตื่น ก่อนจะพบว่าลู่อู๋โยวยังคงหลุบตาเขี่ยผมของนางเล่นอยู่
เห็นท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว เฮ่อหลันฉือจึงรีบพูดเสียงเบาว่า “รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมออกจากบ้านได้แล้ว!”
ลู่อู๋โยวช้อนตามองนาง พูดอย่างทอดถอนใจเสียงเบา “ไม่ค่อยอยากไปแล้ว”
“ใต้เท้าลู่ นี่เป็นงานราชสำนัก เจ้ายังอยากเป็นขุนนางทรงอำนาจอยู่มิใช่หรือ จะเริ่มเกียจคร้านตอนนี้ไม่ได้กระมัง”
ลู่อู๋โยวมองนางอีกปราดหนึ่ง “เมื่อคืนคำพูดของเจ้าไม่มากเท่าตอนนี้เลย”
แน่นอนว่าเขาเพียงพูดไปอย่างนั้น ก่อนจะปล่อยผมของนางอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
เขายังพูดอีกว่า “ได้ ข้าไปล่ะ เจ้านอนต่อเถอะ”
เฮ่อหลันฉือคลำหาเสื้อผ้าทำท่าอยากจะลงจากเตียง “ข้าจะไปส่งเจ้า”
ลู่อู๋โยวเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างคล่องแคล่ว มองไม่ออกเลยว่าเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน
“ไม่ต้องแล้ว เตรียมพร้อมสรรพแล้วมิใช่หรือ ตอนนี้เจ้ายังลงจากเตียงได้อีกหรือไร”
เฮ่อหลันฉือลองขยับขาลงจากเตียง พอเท้าแตะพื้นเล็กน้อยก็รู้สึกว่าขาสั่น คิดโยงไปว่าเมื่อคืนลู่อู๋โยวจัดการนางอย่างรุนแรงเพียงใด นางก็รู้สึกขัดเขินทันที พยายามอยู่หลายครั้งที่จะขยับขาอีกข้างลงมาเช่นกัน
ลู่อู๋โยวสวมชุดที่สวมตามปกติเสร็จแล้วก็มาช้อนอุ้มนางกลับขึ้นไป
“…” เฮ่อหลันฉือถลึงตาจ้องเขา
“ส่งหรือไม่เป็นเพียงพิธีเท่านั้น เจ้าได้ให้กำลังใจข้าแล้ว…” ลู่อู๋โยวพูดด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าลู่ได้กำลังใจอย่างมากเลยทีเดียว”
หลังจากเกล้าผมเสร็จแล้วลู่อู๋โยวจึงเดินไปดูเฮ่อหลันฉืออีกครั้ง
นางมุ่งมั่นมาก
เฮ่อหลันฉือจับเสาเตียงเดินลงมา นิ้วมือสั่นขณะสวมเสื้อผ้าให้ตนเอง เห็นเขามองมาจึงเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าข้าอยากทำสิ่งใดก็ทำ!” นางไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนหนีหน้าที่
ลู่อู๋โยวรู้สึกจนปัญญา จึงเดินเข้าไปหาแล้วช่วยสวมชุดกระโปรงให้นาง “ยกแขนขึ้น”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกเขาปรนนิบัติ กำลังครุ่นคิดถึงปัญหาที่ขาไร้เรี่ยวแรงก็ได้ยินเสียงของลู่อู๋โยวที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตรงเหนือศีรษะ
“รู้สึกว่าข้าจากไปแล้ว เจ้าดูเหมือนไม่ค่อยคิดถึงข้าเท่าไร อย่างไรเสียเจ้าตัวคนเดียวก็มีชีวิตที่ดีมากได้”
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนี้” เฮ่อหลันฉือตกใจเล็กน้อย “ข้าย่อม…”
“ตอนถูกจับขังที่สำนักตรวจการ เจ้าดูแล้วไม่คิดถึงข้ามากนัก”
นี่เป็นเรื่องก่อนหน้านานมากแล้ว
“ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะยังมีความเข้าใจผิดในตัวข้าอยู่บ้าง”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสา” ลู่อู๋โยวช่วยนางผูกสายรัดเอวเสร็จแล้วก็ถอยหลังกลับไป สีหน้าดูสดชื่นมาก ไม่ได้โกรธเกรี้ยวหรือกล่าวโทษอะไร ท่าทางคล้ายกับการประนีประนอมกับนางในวันนั้น “วันหน้าเจ้าต้องคิดถึงข้าแน่นอน”
ลู่อู๋โยวเดินอย่างคล่องแคล่วมาก ระหว่างนั้นก็ได้พูดกำชับนางมากมาย ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าแล้วจากไปท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
ในสมองของเฮ่อหลันฉือยังมีคำพูดของเขาวนเวียนอยู่
‘ข้าไปครั้งนี้ไม่รู้นานเท่าไร อย่างสั้นหนึ่งถึงสองเดือน อย่างนานคงหลายเดือน เพราะอาจมีอันตราย ไม่แน่ว่าจะได้ส่งจดหมายถึงเจ้า ถ้าเจ้ามีข่าวคราวอะไรอยากส่งหาข้า เอาป้ายคำสั่งไปตึกลมบูรพารุจีวานคนนำมาส่งให้ข้าได้’
‘ในจวนมีทางลับเส้นหนึ่ง ก่อนเจ้าจะมาได้สร้างเสร็จแล้ว ทะลุไปถึงสถานที่ปลอดภัยในเมือง ยังเตรียมอาหารและน้ำไว้อย่างเพียงพอ ภัยธรรมชาติหรือภัยจากคนก็ไม่มีปัญหา’
‘ผู้คุ้มกันก็ทิ้งไว้ให้เจ้ามากพอแล้ว ไม่ต้องกลัวเกินไป เงินทองถ้าไม่พอไปเบิกที่ตึกลมบูรพารุจีได้เช่นกัน ทั้งหมดจะจดลงในบัญชีของข้า’
เรื่องราวมากมาย สิ่งที่กำชับได้ก็กำชับพอสมควรแล้ว
เพราะส่วนใหญ่ลู่อู๋โยวเป็นคนพูด เฮ่อหลันฉือมีเวลาทันพอจะตอบเขาหนึ่งประโยคว่า ‘เดินทางปลอดภัยตลอดทาง เจ้าไปสืบคดีได้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงข้าเกินไป’
Comments
