คนในครอบครัวของลู่อู๋โยวที่เฮ่อหลันฉือเคยพบมีจำกัด ที่เคยติดต่อใกล้ชิดค่อนข้างมากก็มีเพียงน้องสาวอย่างฮวาเว่ยหลิง แต่ในช่วงที่โจวหนิงอันก่อเรื่องวุ่นวาย นางยังรับรู้ได้จริงๆ ว่าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันไม่เข้าประตูเดียวกัน
โจวหนิงอันเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ฝีปากเฉียบคม ถึงแม้ทุกครั้งจะถูกลู่อู๋โยวอบรมจนร้องโวยวาย แต่รบแพ้หลายครั้งก็ยังสู้ต่อ ถึงตายก็ไม่ยอมปรับเปลี่ยน มีกลิ่นอายของผู้ที่ยึดมั่นในความคิดของตนเอง แท้จริงแล้วน่านับถือมาก
เฮ่อหลันฉืออดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ตอนยังเด็กเจ้าก็เป็นเช่นนี้หรือ”
ลู่อู๋โยวรู้สึกเหมือนถูกล่วงเกินเล็กน้อย “ถ้าข้าเป็นเหมือนเขา ตอนเด็กคงถูกตีตายไปนานแล้ว”
“หืม!?” เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นไรกันแน่
ลู่อู๋โยวพูดด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “เจ้าเด็กบ้านั่นแค่ดูก็รู้ว่าตอนเด็กไม่เคยถูกทุบตีเลย วันหน้า…”
“…?”
ลู่อู๋โยวกระแอมกลั้วคอแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร”
ห่วงโจวอยู่ทางเหนือ แต่ใกล้ทางตะวันตกเฉียงเหนือมากกว่า เป็นที่ราบต่ำ สี่ด้านมีภูเขาล้อมรอบ อากาศจึงไม่หนาวเหน็บเท่าเมืองหลวง
สุดท้ายพรรคอี้หย่งยังคงรับปากเงื่อนไขของลู่อู๋โยว อาจเป็นเพราะยิ่งปล้นสะดมสถานที่แห่งนี้ก็ยิ่งยากจนข้นแค้น หากสามารถอยู่เย็นเป็นสุขมีชีวิตที่มั่นคงได้ แท้จริงแล้วคนจำนวนมากคงไม่อยากเป็นโจรเช่นกัน
วันที่ลงมือขุดดินนั้นเฮ่อหลันฉือยังไปดูอีกด้วย
นางเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงนวมสีเข้ม ใต้เท้าเป็นดินโคลนแอ่งน้ำตื้น รองเท้าปักลายอาจจะสกปรกได้ แต่นางก็ไม่ใส่ใจ นางมองไปไกลเห็นคนกลุ่มใหญ่ลงมือทำงานอย่างขะมักเขม้นเต็มที่ ตะโกนเสียงดังสนั่นท่ามกลางฤดูหนาว ท่าทางทำงานที่ส่งเสียงดังใส่กันมองแล้วรู้สึกน่าตื่นตะลึงอยู่หลายส่วน
อยู่เมืองหลวงย่อมไม่เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้
ลู่อู๋โยวเดินมาหานางแล้วเอ่ยว่า “ใช้เงินจ่ายค่าแรงงาน ข้าให้จำนวนมากอยู่ ย่อมมีแรงจูงใจมากกว่าการออกคำสั่งบังคับ และหลังจากเข้าฤดูใบไม้ผลิ ตอนทำนาฤดูใบไม้ผลิยังสามารถเปลี่ยนผลัดวันละรอบได้ พยายามไม่รบกวนการทำการเกษตรของพวกเขา ลงโคลนก็รอถึงเดือนสามเดือนสี่หลังจากอากาศอบอุ่นแล้ว”
โจวหนิงอันกำลังดึงตัวเจ้าหน้าที่แซ่เฉิงผู้นั้นมาตินั่นตินี่
เฮ่อหลันฉือมองดูอีกพักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำมากมายเช่นนี้”
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ที่ผ่านมาในเมื่อข้าทำแล้วก็จะพยายามทำให้ดีมิใช่หรือ”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้า “ในเรื่องนี้เจ้าน่ารักน่าชื่นชอบมาก”
ลู่อู๋โยวพูดอย่างช้าๆ “ใครรักใคร่ชื่นชอบ”
เขาถามอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เฮ่อหลันฉือตกตะลึง รู้สึกเขินอายเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อไป “ทุกคนต่างรักใคร่ชื่นชอบคนที่ตั้งใจจริงจัง”
ลู่อู๋โยวชำเลืองมองนางปราดหนึ่งแล้วหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง
เพราะห่วงโจวอยู่ค่อนข้างไกล กว่าจะได้รับรายงานจากเมืองหลวงก็ต้องใช้เวลานานมาก โชคดีที่ลู่อู๋โยวมีเส้นทางการรับข่าวสารของตนเอง
เฮ่อหลันฉือได้ข่าวว่าบิดาหายป่วยแล้ว เดินทางไปอี้โจวโดยราบรื่น นางก็รู้สึกโล่งใจได้ครึ่งหนึ่ง
ผ่านไปสองเดือนเซียวหนานสวินกลับจากการเซ่นไหว้บรรพชนที่อารามหลวงแล้ว เหล่าขุนนางที่นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งก็เริ่มกลับสู่สภาพเดิม ยื่นฎีกาขอร้องให้ฮ่องเต้รีบแต่งตั้งรัชทายาท และเมื่อได้ยินข่าวว่าพระชายาขององค์ชายใหญ่ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์ ยิ่งทำให้เหล่าขุนนางต่างตื่นเต้น ในเรื่องการเปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์นี้ ที่กลัวที่สุดก็คือฮ่องเต้ไร้ผู้สืบทอด
เดิมทีเพราะคดีอี้โจวพวกลี่เฟยกับองค์ชายรองได้รับผลกระทบอย่างแรง ในการประเมินผลงานขุนนางในเมืองหลวงหลังจากนั้นเสนาบดีกรมปกครองกับผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายคนใหม่ดูไม่ชอบใจองค์ชายรองอย่างเห็นได้ชัด และกำจัดปีกขนขององค์ชายรองไปส่วนหนึ่ง คนที่เหลืออยู่ต่างก็หนีบหางแน่น ไม่ยโสโอหังเช่นในตอนแรก
ดูเหมือนสถานการณ์โดยรวมจะถูกกำหนดไว้แล้ว
ทว่าฮ่องเต้ยังคงประวิงเวลาไม่ยอมร่างราชโองการเสียที หลังจากองค์ชายรองกลับมายังอาศัยเรื่องที่เขามีผลงานไปเซ่นไหว้บรรพชน พระราชทานของรางวัลให้มากมาย ทำให้เหล่าขุนนางคาดเดาไม่ถูกไปชั่วขณะว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ข่าวที่น่าตกใจที่สุดคงไม่พ้นลี่เฟยตั้งครรภ์อีกครั้งแล้ว นางอายุเกือบสี่สิบปี เห็นได้ว่าได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ไม่คลายจริงๆ
สถานการณ์ดูเหมือนจะคลุมเครืออีกครั้ง
เฮ่อหลันฉืออ่านจบก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงคิดจะ…”
ลู่อู๋โยวพยักหน้า “เป็นฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะมีอิสระ อยากจะให้บุตรชายคนใดสืบทอดราชบัลลังก์ก็ให้บุตรชายคนนั้นสืบทอดได้ แน่นอนว่าที่เซียวไหวจั๋วลังเลไม่ใช่เพียงเพราะเขาโปรดปรานลี่ซื่อและเพราะเขาไม่อยากปล่อยให้เซียวหนานป๋อยิ่งใหญ่ ขณะที่ตนเองยังอยู่ในตำแหน่งจะว่าไปแล้วเป็นฮ่องเต้โง่เขลาไม่แน่ว่าอาจจะมีความสุขกว่า”
เฮ่อหลันฉือยังคงอธิษฐานอย่างเงียบๆ ไม่ว่าอย่างไรจะให้เซียวหนานสวินสืบทอดราชบัลลังก์ไม่ได้