ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 30
นางย่อมรู้ว่าองค์รัชทายาทไหวจิ่นเป็นผู้ใด ตอนนั้นนางกับลู่อู๋โยวยังเคยอ่านชีวประวัติของคนผู้นี้ด้วยกันอีกด้วย เขาเป็นพี่ชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นรัชทายาทที่สิ้นพระชนม์อย่างไม่เป็นธรรมในคดีก่อกบฏ ได้ยินว่าเขายังมีบุตรชายอีกหนึ่งคน แต่ระหว่างคดีก่อกบฏไม่รู้ร่องรอยแน่ชัด อดีตฮ่องเต้ประชวรหนักเพราะคดีก่อกบฏนี้ ช่วงใกล้สวรรคตยังส่งคนออกตามหาหลานชายของตนเองไปทั่ว น่าเสียดายที่ไม่พบคน
ต่อมาหลังจากซุ่นฮ่องเต้สืบทอดราชบัลลังก์เรื่องนี้จึงไม่มีคนพูดถึงอีกเลย
สำหรับเรื่องที่ใครตามล่าสังหารมู่หลิงอยู่ตลอดก็เข้าใจได้ทันที แค่คิดก็รู้ว่าซุ่นฮ่องเต้คงไม่หวังให้บุตรชายของพี่ชายตนเองคนนี้มีชีวิตรอด
ชายวัยกลางคนคิดไม่ถึงว่ามู่หลิงจะเล่าเรื่องออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้จริงๆ เขาสูดหายใจเข้าอย่างตกใจทันที ท่าทางกลัดกลุ้มขึ้นมา
มู่หลิงหันหน้ามาพูดกับเขาว่า “เจ้าถูกพบตัวแล้ว ปิดบังไปตลอดข้าก็เหนื่อยมากเช่นกัน และที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองหลวง”
หากเปิดเผยตัวตนออกมาที่เมืองหลวง ลู่อู๋โยวอาจจะนำตัวเขาไปแลกกับอนาคตการงาน แต่ที่นี่ฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ไกล ต่อให้มีความคิดเช่นนี้ จะลงมือทำจริงก็ไม่สะดวกถึงเพียงนั้น
ลู่อู๋โยวกลับไม่ค่อยตกใจเท่าไรนัก อย่างไรเสียก่อนหน้านี้เขาก็คาดเดาไว้บ้างแล้ว ความเคารพหวาดกลัวที่เขามีต่ออำนาจราชวงศ์นั้นมีจำกัดมาก เวลานี้ได้ยินก็ส่งเสียง “อ้อ” เพียงหนึ่งคำ
“ดังนั้นเจ้าคือบุตรชายที่หายตัวไปขององค์รัชทายาทไหวจิ่นผู้นั้นหรือ”
“เขาว่าข้าเป็นคนนั้น”
ลู่อู๋โยวพูดอีกว่า “เจ้าจำอะไรไม่ได้สักนิดจริงหรือ”
มู่หลิงพูดอย่างจนใจ “ตอนนั้นข้าลืมหมดแล้ว ต่อมาก็เริ่มจำได้เล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ยังคงจำไม่ได้ มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่ได้โกหก นั่นคือข้าอยากเป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพคนหนึ่งจริงๆ เขียนบทละครเหล่านั้นก็แค่ทำเพื่อเอาใจเว่ยหลิงเพราะข้าชอบจริงๆ ยามนี้คิดดูแล้วตอนเป็นเด็กน่าจะเคยอ่านมาไม่น้อย”
ลู่อู๋โยวพบว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนคำเรียก “ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกเว่ยหลิง”
มู่หลิงยักไหล่ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าสารภาพความจริงเช่นนี้แล้ว เจ้าน่าจะเชื่อใจข้าบ้างสิ”
ทันใดนั้นลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งทะลวงอากาศยามค่ำคืนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“นายน้อยระวัง!” ชายวัยกลางคนคว้าตัวมู่หลิงให้ขยับตัวหลบ
ส่วนลู่อู๋โยวสายตาคมกริบ เขากลับหลังหันทันที ก่อนจะได้ยินเสียงคนยืนอยู่บนที่สูงเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้าลู่ เรื่องที่เจ้าสมคบกับโจรกบฏข้าจะรายงานตามจริง ขอให้ตอนนี้เจ้าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”
องครักษ์เสื้อแพรที่สวมชุดลำลองคนหนึ่งกำลังจับตัวเฮ่อหลันฉือ จ่อดาบไว้ที่คอของนาง
ไม่รอให้ลู่อู๋โยวลอยตัวขึ้นไปก็เห็นเฮ่อหลันฉือชักมีดสั้นออกมา พลิกมือแทงมีดลงบนแขนขององครักษ์เสื้อแพรคนนั้นอย่างรวดเร็ว การกระทำเหมือนไม่คิดอะไรเลย องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นรู้สึกเจ็บจึงผ่อนแรงบนมือ เฮ่อหลันฉือจึงขยับเท้ากระโดดไปข้างหน้าในทันที
ใต้หลังคาเป็นพื้นดินที่ห่างจากพื้นราวสองสามคนยืนต่อกัน หลังคาฝั่งตรงข้ามไกลยิ่งกว่า นางไม่มีทางกระโดดข้ามไปได้
องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นยังคิดจะยื่นมือไปคว้าตัวนางไว้ แต่ลู่อู๋โยวลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ขยับตัวอย่างรวดเร็วราวกับวิญญาณ รับตัวเฮ่อหลันฉือที่กระโดดมาหาเขาไว้ได้อย่างมั่นคงแล้วยกมือข้างหนึ่งขว้างมีดบินที่ปลิดชีวิตได้อย่างร้ายกาจเป็นการโต้กลับ
เฮ่อหลันฉือมีท่าทีตอบสนองโดยสัญชาตญาณทั้งสิ้น ยิ่งกลัวยิ่งลงมือรวดเร็ว
เมื่อครู่ตอนอยู่กลางอากาศนางยังหลับตา หัวใจเต้นรัว ตอนนี้นางลืมตาขึ้นในที่สุด หลังคอยังรู้สึกชาเพราะความตื่นเต้น
ลู่อู๋โยวด้านหนึ่งปล่อยสัญญาณควันเรียกคนอื่นมา องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว ด้านหนึ่งยังคงยกมุมปากยิ้ม รีบพูดกับเฮ่อหลันฉือ
“เจ้าเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ”
เฮ่อหลันฉือโอบไหล่ของเขาแล้วพูดเสียงสั่นเครือ “เจ้ายังรับข้าไม่ได้อีกหรือ”
ลู่อู๋โยวริมฝีปากยกยิ้มมากขึ้น “นั่นย่อมเป็นต่อให้ตายก็ต้องรับให้ได้แล้ว”
ชายวัยกลางคนข้างกายมู่หลิงก็เริ่มเรียกคนทันทีเช่นกัน ทว่ามู่หลิงผลักเขาออกแล้วเอ่ยว่า “พอแล้ว เจ้ารีบไปเถอะ”
ชายวัยกลางคนพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
ถ้านับคนที่ยิงธนูจากที่ไกลด้วย องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนี้มีทั้งหมดราวเจ็ดแปดคน ไม่นับว่ามากนัก
ครั้นเห็นสัญญาณควัน คนของลู่อู๋โยวก็รุดมาอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นรวมไปถึงฮวาเว่ยหลิงด้วย
เด็กสาวมาถึงเร็วที่สุดราวกับสายฟ้าในค่ำคืนมืดมิด เหมือนว่าในพริบตาก็มาถึงตรงหน้าแล้ว จากนั้นนางก็ยกมือวาดคมกระบี่ ฟันองครักษ์เสื้อแพรที่กระจายตัวรอบด้านเมื่อครู่จนแตกไม่เป็นขบวน
ปากของนางยังพูดเสียงดังอีกว่า “นี่! ข้าไม่ได้มาสายไปกระมัง! กลางวันกินมากเกินไปหน่อย จึงรู้สึกง่วงเล็กน้อย”
ลู่อู๋โยวไม่พกกระบี่ติดตัว ไม่สะดวกเหมือนนางจริงๆ กำลังจะเอ่ยปากก็เห็นมู่หลิงที่ยืนอยู่ที่เดิมกำลังหยิบลูกธนูที่ตกพื้นขึ้นมา ก่อนจะขยับไปมุมหนึ่งแล้วกรีดแขนซ้ายของตนเองจนมีรอยเลือดสองรอยโดยไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย
เฮ่อหลันฉือ “…”
“…” ลู่อู๋โยวนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขากอดเฮ่อหลันฉือ ตั้งสติเล็กน้อยก่อนจะพูดกับฮวาเว่ยหลิงว่า “อย่าให้พวกเขาหนีไป คนเดียวก็ไม่ได้”
“ได้!”
ฮวาเว่ยหลิงเหมือนเหยี่ยวจับลูกไก่ ไม่นานก็ร่วมกับคนอื่นไล่จับองครักษ์เสื้อแพรไว้ได้ทีละคน หลังจากนั้นก็กระโดดลอยตัวอย่างคล่องแคล่วมาดูมู่หลิงแล้วเอ่ยถาม
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ดึกดื่นเช่นนี้เหตุใดถึงวิ่งออกมา”
มู่หลิงกุมแผลบนแขนซ้าย ใบหน้าซีดขาวขณะส่ายหน้าตอบว่า “ไม่เป็นอะไรมาก”
“เหตุใดจึงบาดเจ็บอีกแล้ว ให้ข้าดูสักนิด…”
มู่หลิงหลุบตาลง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องดูหรอก บาดแผลเล็กน้อย เจ้ามาก็พอแล้ว”
ลู่อู๋โยวได้แต่แสดงสีหน้ารังเกียจ “แผลนั่นเขาเป็นคนทำเอง”
ฮวาเว่ยหลิงเงยหน้าขึ้น “…?”
เฮ่อหลันฉือซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของลู่อู๋โยว รู้สึกชื่นชมเขาอย่างเงียบๆ
ถูกลู่อู๋โยวเปิดโปงความจริง เฮ่อหลันฉือยังคิดว่ามู่หลิงจะรู้สึกอับอาย ทว่าไม่เลย เขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเดิม
“ไม่ต้องสนใจบาดแผลของข้า”
ฮวาเว่ยหลิงกลับเอ่ยถามตามตรง “เหตุใดเจ้าจึงต้องทำให้ตนเองบาดเจ็บ”
มู่หลิงยิ้มบางก่อนจะเอ่ยตอบ “เพราะว่า…”
ลู่อู๋โยววางตัวเฮ่อหลันฉือลงแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ “เพราะอยากให้เจ้าเป็นห่วงเขา เห็นใจเขา สงสารเขา…”
พูดจบเขายังให้คนค้นบนตัวองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้อีกว่ามีจดหมายสายรายงานอะไรทำนองนี้หรือไม่ รวมถึงตามมาถึงที่นี่ได้อย่างไร โชคดีที่เรื่องนี้ไม่ได้ทำอย่างเปิดเผย คนที่มาย่อมมีไม่มากและไม่เป็นที่เอิกเกริก อย่างไรเสียองค์รัชทายาทไหวจิ่นก็สิ้นชีพไปนานมากแล้ว อีกฝ่ายน่าจะอยากฆ่ามู่หลิงให้ตายไปด้วยเท่านั้น
ฮวาเว่ยหลิงยังคงไม่เข้าใจ นางพูดออกมาตามจิตใต้สำนึกทันที “นั่นก็ไม่จำเป็น…” แต่ยังคงหยิบยาสมานแผลออกมาเทลงบนแผลของมู่หลิงเล็กน้อย
มู่หลิงส่งเสียง “ซี้ด” เบาๆ หลุบตาลงอีกครั้งแล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลด “เป็นปัญหาของข้าเอง คืนนี้ไม่เพียงทำให้แม่นางฮวาเดือดร้อน ยังทำให้ใต้เท้าลู่กับฮูหยินเดือดร้อนอีกด้วย…”
เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไปอย่างชัดเจนมาก
Comments
