ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 30
เฮ่อหลันฉือพยักหน้า “อย่างไรก็ดีกว่าสองคนนั้น”
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เมื่อครู่กระโดดใส่อ้อมกอดข้า คิดได้อย่างไรกัน”
หัวข้อสนทนาของเขาเปลี่ยนเร็วราวกับลมพัด เฮ่อหลันฉือพูดอย่างตกใจ “ไม่ได้คิดอะไรนี่ ก็…” แค่กระโดดไปเลย
“พูดให้มากอีกนิดซิ”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างงุนงง “ตอนดาบจ่อบนคอของข้า ข้ารู้สึกกลัวมาก…”
“จากนั้นเล่า”
“ครั้งหน้าข้าจะฝึกฝนให้มาก น่าจะมีท่าทีตอบสนองเร็วกว่านี้อีกนิด หลบได้ก่อนที่เขาจะจ่อดาบเข้ามา”
ลู่อู๋โยวพูดต่อไปว่า “จากนั้นเล่า”
เฮ่อหลันฉือพยายามใคร่ครวญ “อ้อจริงสิ กำไลที่เจ้าให้มาข้ายังใส่อยู่ อันที่จริงเมื่อครู่ไม่ต้องกระโดด หากเกี่ยวหลังคาฝั่งตรงข้ามก็อาจจะหนีได้เช่นกัน ข้ายังสามารถใช้ไหล่กระแทกให้เขาตกลงไปได้ด้วย ถ้าข้าสงบสติอีกสักนิด”
ลู่อู๋โยวมองนางอย่างจนคำพูดยิ่งนัก “ข้าไม่ได้ถามเจ้าว่ามีวิธีแก้ปัญหาอื่นหรือไม่ แต่เป็น…”
ตอนนี้ดวงตาดอกท้อของเขาราวกับมีตะขอ เขาจับจ้องนาง นอกจากแววหยอกเย้าและยั่วยวนยังแฝงความรู้สึกซับซ้อนมากมาย ดูลึกล้ำ ดวงตากลอกกลิ้งไปมา
เฮ่อหลันฉือหัวใจเต้นแรง ทันใดนั้นก็ลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่ตนเองจะพูดอะไร รู้สึกเพียงว่าปากแห้งเล็กน้อย
เดิมทีกลางคืนนอนหลับไม่ได้ดื่มน้ำ ทั้งยังพูดจามากมายเช่นนี้อีก ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืนแล้วปากแห้งก็เป็นเรื่องปกติมาก
ขณะที่เฮ่อหลันฉือกำลังคิดจู่ๆ ก็แลบลิ้นออกมาโดยไม่ตั้งใจ เลียริมฝีปากให้ชุ่มชื้นโดยไม่รู้ตัว พลันเห็นแววตาของลู่อู๋โยวอ่อนโยนลงเล็กน้อยในทันใด
ลู่อู๋โยวตัวแข็งเกร็ง นิ้วมือที่จับผมของนางบีบแน่นขึ้น กะพริบตาช้าๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าเข้าใจหรือไม่เข้าใจกันแน่ เหตุใดจู่ๆ จึงเริ่มยั่วยวนข้าอีกแล้ว”
เฮ่อหลันฉือดึงสติกลับมาจึงรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเองทำอะไรลงไป ก่อนที่จะหน้าแดงนางก็รีบพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เจ้ายั่วยวนข้าก่อน”
ลู่อู๋โยวพูดขึ้นช้าๆ “ใครกันที่แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก”
“…เจ้าใช้สายตาไม่ปกตินั่นมองข้าก่อน”
ลู่อู๋โยวจ้องนางลึกซึ้งยิ่งขึ้นพลางเอ่ยว่า “นี่เจ้ากำลังปั้นเรื่องว่าข้าใช้สายตาเช่นนี้มองเจ้าทุกวันหรือ”
เฮ่อหลันฉือ “…!”
“ก่อนหน้านี้นานมากก็เป็นเช่นนี้ เจ้าคงไม่ได้เพิ่งเห็นตอนนี้กระมัง”
เฮ่อหลันฉือยังอยากจะสู้ต่อ แต่ก่อนหน้านี้สายตาที่เขามองผู้อื่นก็ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ แต่ที่ผ่านมานางไม่รู้สึก ยามนี้กลับรู้สึกว่า…ตนเองอยากใกล้ชิดกับเขาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
“เห็นอยู่บ้าง แต่…” พอนางตื่นเต้นจะรู้สึกว่าริมฝีปากและลิ้นแห้งมากขึ้น ดังนั้นจึง…
ลู่อู๋โยวกลืนน้ำลายเบาๆ อุ้มนางขึ้นมาแล้วพูดว่า “พอแล้ว เจ้าอย่าพูดอีกเลย”
เขากระโดดขึ้นลงหลายครั้งจนมาถึงลานบ้านของตนเอง
กลางคืนมืดมิดเพราะยังไม่ได้จุดตะเกียง มีเพียงแสงดาวสลัวราง
เฮ่อหลันฉือยังยืนไม่มั่นก็ถูกลู่อู๋โยวดันไปติดกำแพง ดึกสงัดคนเงียบสนิท มีเพียงเสียงหัวใจเต้น ยังได้ยินเสียงเคาะบอกเวลาดังแว่วๆ มาจากที่ไกล ภายในลานบ้านลมเย็นพัดผ่าน หม้อทองเหลืองที่พวกเขาใช้กินน้ำแกงโบราณใบนั้นยังปิดฝาวางอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนจะมีคนโผล่มาที่นี่อยู่ตลอดเวลา
นางส่งเสียงคราง ทนไม่ไหวจนต้องยื่นแขนสองข้างไปโอบคอของลู่อู๋โยว
เขาหัวเราะเบาๆ ประคองเอวและขาของนางที่อ่อนลงอย่างรวดเร็ว จับข้อพับเข่าข้างหนึ่ง ให้นางยกขาเกี่ยวเอวเขาเอาไว้ แนบตัวติดกับเขามากขึ้น มืออีกหนึ่งข้างสอดผ่านผมยาวไปจับหลังศีรษะของนาง หางคิ้วหางตาเผยให้เห็นความเย้ายวนจิตวิญญาณ
ระหว่างริมฝีปากไร้ช่องว่าง ร่างกายก็เช่นกัน
เฮ่อหลันฉือใจเต้นราวกับรัวกลอง ได้ยินเสียงเย้ายวนใจของลู่อู๋โยวพูดอย่างแหบแห้งว่า “นั่นอาจจะเป็นเพราะเจ้าก็ต้องการข้าเช่นกัน”
เฮ่อหลันฉือจิตใจไม่อยู่กับตัวเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะนางกับลู่อู๋โยวจูบกันจนเกือบจะถูกฮวาเว่ยหลิงที่เดินเข้าประตูมาเห็น แต่เป็นเพราะคำพูดของเขา
ตอนนี้คิดไปแล้วยังคงมีความรู้สึกขัดเขินและละอายใจที่ทำให้มือเท้างุ้มเกร็ง
ถึงแม้ลู่อู๋โยวจะพูดคุยถ้อยคำส่วนตัวกับนางโดยไม่ปิดบังอะไร แต่นางก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจเช่นกัน ทว่าตอนนี้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงมันขึ้นมา ในใจค่อยๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่าอันที่จริงที่เขาพูดดูเหมือนไม่เลวเช่นกัน
นางชอบจูบกับเขา ถึงขั้นเรื่องที่ไม่ค่อยสบายตัว ควบคุมร่างกายของตนเองไม่ได้ก็ยังรู้สึกชอบ
ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้สึกว่าตนเองสามารถรับได้ ทั้งยังถลำลึกต่อไปอีกด้วย
เฮ่อหลันฉือต้องพยายามขจัดความคิดกวนใจในระหว่างที่ยุ่งอยู่กับงานของสำนักศึกษา
หลังจากติดต่อข้าหลวงฝ่ายการศึกษาและซื้อบ้านเสร็จแล้ว อาจารย์ พ่อครัว คนงาน และคนคุ้มกันสำนักศึกษาก็เจรจาไว้พร้อมสรรพเช่นกัน นอกจาก ‘ตำราตรีอักษร’* ‘ตำราร้อยแซ่’** ‘ตำราพันอักษร’ ยังมี ‘ขุมปัญญาผู้เยาว์’ ที่สั่งพิมพ์ใหม่หนึ่งชุดยังมาไม่ถึง เฮ่อหลันฉือหาเวลาว่างเขียนคำอธิบายที่เข้าใจง่ายขึ้นจำนวนหนึ่งลงไปเพื่อสะดวกในการอ่าน
เพื่อทดสอบผล นางยังให้โจวหนิงอันช่วยอ่านด้วยหนึ่งรอบ
โจวหนิงอันพูดอย่างปวดศีรษะ “…ข้าไม่อยากอ่านหนังสือจริงๆ!”
เฮ่อหลันฉืองุนงง “เจ้าเป็นญาติผู้น้องแท้ๆ ของเขาจริงหรือ”
โจวหนิงอันกลับพูดอย่างมีเหตุผลว่า “มังกรมีบุตรเก้าคน ยังแตกต่างกันเลย! ข้าไม่ชอบเรียนหนังสือมีอะไรแปลกเล่า!”
ฮวาเว่ยหลิงตั้งใจช่วยนางอ่านแล้ว ทั้งยังหยิบบทละครที่ตนเองชอบในระยะนี้ออกมาพูดให้นางฟังอย่างกระตือรือร้นอีก
“พี่สะใภ้ ท่านไม่ลองพิจารณาบทละครสักนิดหรือ ข้าคิดว่าเช่นนี้อ่านแล้วค่อนข้างน่าสนใจ”
เฮ่อหลันฉือส่ายหน้าอย่างหนักแน่นแล้วเปลี่ยนไปถามว่า “แล้ว…สองวันนี้มู่หลิงเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาน่ะหรือ ปกติดีมาก เวลากินก็กิน เวลานอนก็นอน แผลบนแขนหายดีแล้ว!”
นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีก็แค่ถากเป็นรอยเลือดสองรอยเท่านั้น
เฮ่อหลันฉือครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอีก “แล้วเจ้ามีความเห็นเช่นไรต่อเขา”
ฮวาเว่ยหลิงพูดอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “เป็นสหายข้าน่ะสิ สหายข้ามีมากมาย ก็แค่…เขาอาจจะเป็นคนที่ค่อนข้างโชคร้าย พี่สะใภ้อาจจะดูไม่ค่อยออก เมื่อก่อนเขาน่าจะบาดเจ็บบ่อยครั้ง ดังนั้นตอนนี้แผลจึงหายเร็วถึงเพียงนี้”
เฮ่อหลันฉือวางใจลงได้เล็กน้อย
สุดท้ายเห็นลู่อู๋โยวที่ท่าทางสบายอารมณ์นั่งลงชงชาตรงลานบ้านอีกครั้ง หางตายกขึ้นพูดกับนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เหตุใดจึงไม่เอามาให้ข้าอ่าน”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกว่าความรู้สึกที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินั้นผุดขึ้นมาอีกครั้ง และไม่กล้ามองหน้าเขานัก จึงพูดกลบเกลื่อน
“เจ้าอ่านไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
ลู่อู๋โยวหมุนถ้วยกระเบื้องขาวเล่นกลางหว่างนิ้วไปมา ดวงตาสีอ่อนเปล่งประกาย “เจ้าไม่ให้ข้าอ่านจะรู้ได้อย่างไร”
“อย่าพูดยอกย้อนเลย ข้าไปทำงานแล้ว”
“ฉือฉือ ระยะนี้เจ้าเขินอายบ่อยขึ้นนะ”
เฮ่อหลันฉือยังคงไม่มองเขา กอดตำราในมือแล้วพูดเสียงเบา “หยุดวุ่นวายกับข้าได้แล้ว”
ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ “ก็ได้ เจ้ามาจูบข้าหนึ่งที ข้าจะไม่รบกวนเจ้า”
เฮ่อหลันฉือ “…”
วันเวลาผ่านไปอย่างสบายใจ เพียงแต่ยังคงกังวลเรื่องทางด้านมู่หลิงอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าก่อนมู่หลิงตัดสินใจจะเกิดเรื่องขึ้นที่นอกเมืองสุยหยวนเสียแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 มิ.ย. 68
Comments
