เดิมทีคุณหนูเย่อหยิ่งออกปานนั้น เคยเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสียเมื่อไร คุณหนูสามกับคุณชายรองเป็นน้องสาวและน้องชายร่วมมารดากับนาง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพวกเขาก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร ไม่ได้ใส่ใจอะไรพวกเขานัก แต่ไฉนตอนนี้ถึงดีต่อฉางหมัวมัวปานนี้เล่า
มิหนำซ้ำเมื่อครู่คุณหนูยังพูดด้วยว่ารสชาติเป็ดตุ๋นสี่มงคลนั้นดียิ่ง ให้นางกับชิงเหอชิงจู๋แบ่งไปกิน นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นในอดีตแน่นอน
จะว่าไป…นับแต่ได้รู้ข่าวการตายของฮูหยิน นิสัยของคุณหนูก็ดูเหมือนเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย
ก็ถูก คุณหนูได้ฮูหยินประคบประหงมจนเติบใหญ่ ใกล้ชิดสนิทสนมกับฮูหยินที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร ฮูหยินจากไปแล้ว นายท่านถึงกับใจดำไม่ให้คุณหนูกลับไปร่วมงานศพ คุณหนูย่อมต้องเสียใจมากแน่นอน นิสัยเปลี่ยนไปก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง
ไฉ่เวยทอดถอนใจเงียบๆ ทว่าเบื้องหน้ากลับไม่ได้แสดงออก เพียงยิ้มพลางพูดคุยเล่นกับฉางหมัวมัวสองสามคำ จากนั้นนางก็ยืนขึ้นกล่าวยิ้มๆ “ทางคุณหนูยังรอให้ข้าไปปรนนิบัติอีก ข้าขอตัวก่อนแล้ว หมัวมัวพักผ่อนให้เต็มที่ หากมีอะไรก็ให้สาวใช้ไปบอกข้า”
ฉางหมัวมัวนั่งตัวตรงบนตั่ง กล่าวว่า “รบกวนแม่นางกลับไปรายงานคุณหนูแทนข้าสักคำ บอกว่าขอบคุณนางมากที่อุตส่าห์มีใจนึกถึงบ่าวชรา”
ไฉ่เวยยิ้มพลางพยักหน้าตอบรับ ก่อนหมุนตัวเดินออกนอกประตูไป
ครั้นไฉ่เวยกลับไปหาเสิ่นหยวนก็เห็นอีกฝ่ายกำลังถือสะดึงไว้ในมือ ก้มหน้าปักกอกล้วยไม้อยู่ ส่วนชิงเหอกับชิงจู๋ก็คอยยืนรับใช้อยู่ข้างๆ
“นำของไปให้ฉางหมัวมัวแล้ว?” เห็นไฉ่เวยกลับมาเสิ่นหยวนก็วางสะดึงเล็กในมือลง ก่อนเงยหน้าขึ้นถามนาง
ไฉ่เวยตอบ “บ่าวนำของไปให้ฉางหมัวมัวตามที่คุณหนูสั่งแล้วเจ้าค่ะ นางยังบอกให้บ่าวขอบคุณคุณหนูแทนนางด้วย”
เสิ่นหยวนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก ก้มหน้าลงปักกอกล้วยไม้ที่ยังทำไม่เสร็จบนสะดึงต่อ
แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างเล็กของเรือ ตกลงบนร่างเสิ่นหยวน ผิวนางขาวปานหิมะแรก ทั่วกายมีบุคลิกลักษณะสงบนิ่งเรียบเฉย
ชั่วแวบหนึ่งนั้นไฉ่เวยเกิดภาพหลอนขึ้นมา คล้ายว่าเสิ่นหยวนควรเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เสิ่นหยวนที่เย่อหยิ่งจองหองในอดีตเป็นเพียงจินตนาการในสมองของตนเท่านั้น
สองวันให้หลังเรือแล่นตามลมโดยตลอดจึงรุดหน้าไปรวดเร็ว แต่ตอนมาถึงอันเต๋อก็เริ่มมีฝนตกหนัก ลมพัดย้อนทาง เรือต้องแล่นทวนลม ซ้ำเบื้องหน้าแม่น้ำยังแตกออกเป็นหลายสาย มีหินโสโครกจำนวนมาก คนคุมเรือรายงานว่าวันนี้เกรงจะแล่นเรือไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงหยุดอยู่ที่นี่ชั่วคราว รอฝนหยุดทิศทางลมเปลี่ยนค่อยเดินทางต่อ
เสิ่นหยวนอนุญาตให้หยุดเรือ
ฝนนี้ตกจนเย็นถึงได้หยุด ดวงอาทิตย์ปรากฏตามหลังมาทันที
เสิ่นหยวนฟุบอยู่บนหน้าต่างเรือ มองดวงอาทิตย์ยามเย็นที่อยู่ไกลออกไปกำลังลับขอบฟ้า ริมฝั่งมีต้นไม้ บนผิวน้ำล้วนเป็นแสงแดดยามเย็น เป็นสีเขียวตัดสีแดงอย่างแท้จริง
หางตาพลันเหลือบเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ท้ายเรือ รูปร่างสูงใหญ่ตระหง่าน สองมือไพล่หลังมองดูผิวแม่น้ำไหลเชี่ยวที่เบื้องหน้า ลมแม่น้ำพัดสายรัดเอวและแขนเสื้อสีเขียวครามของเขาปลิวขึ้น บุคลิกสง่างามเหนือสามัญ
…เป็นหลี่ซิวเหยา
เสิ่นหยวนนั่งหลังตรงไม่ได้ฟุบต่อ ยื่นมือไปหยิบหนังสือมาอ่าน
เรือที่นางเหมาลำนี้มีขนาดใหญ่มาก วันนั้นหลังจากให้หลี่ซิวเหยากับผู้ติดตามของเขาขึ้นเรือมา นางก็ให้คนคุมเรือจัดให้พวกเขาพักที่ห้องด้านหลัง ส่วนนางกับผู้ติดตามของนางย่อมจะพักที่ห้องกลางและห้องด้านหน้า สองวันมานี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้พบหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว
เสิ่นหยวนรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดียิ่ง ชาตินี้นางก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนสกุลหลี่อยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นนางก็รู้ว่าภายภาคหน้าหลี่ซิวเหยาจะได้กลายเป็นขุนนางมากอำนาจที่โหดเหี้ยมเช่นนั้นอีก ทางที่ดีต่อแต่นี้อย่าได้เจอกันอีกเป็นดีที่สุด
อาทิตย์ยามเย็นค่อยๆ ลาลับเหลี่ยมเขา วันนี้เป็นวันที่จันทร์เต็มดวง บนฟ้ามีจันทร์กระจ่างหนึ่งดวง ในน้ำก็มีอีกหนึ่งดวง ริมฝั่งมีหมอกควันปกคลุม ทัศนียภาพงดงามอย่างที่สุด
ไฉ่เวยจุดเทียนบนโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กเสร็จก็ใช้โป๊ะตะเกียงครอบไว้ ครั้นเงยหน้าขึ้นมาเห็นเสิ่นหยวนยังนั่งมองดวงจันทร์อยู่ตรงหน้าต่าง มือถือหนังสือค้างไว้เฉยๆ ไม่ได้พลิกเปิดต่อ จึงเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่ราวแขวนเสื้อด้านข้างมาคลุมลงบนตัวนาง
“คุณหนู กลางคืนลมแรง ไอน้ำก็มาก ท่านนั่งหลบเข้ามาหน่อยดีกว่านะเจ้าคะ ระวังจะไม่สบายเอา” นางเตือนเสิ่นหยวนเสียงนุ่ม
เสิ่นหยวนยังมองดูแสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำด้านนอก รู้สึกว่าในใจสงบนิ่งยิ่งยวด
ชาติก่อนนางเคยมีนิสัยหุนหันพลันแล่นเพียงนั้น ต่อมาภายหลังถูกพิษจนตาบอด ใจกลับค่อยๆ สงบลง บางทีอาจเป็นเพราะได้เรียนดีดพิณกับคนผู้นั้น ใจข้าถึงค่อยๆ สงบลงกระมัง
คิดถึงคนผู้นั้นเสิ่นหยวนก็รู้สึกใจอ่อนยวบอย่างห้ามไม่อยู่ มุมปากพลอยยกขึ้นตามไปด้วย
เพียงนึกเสียดายที่จนตายก็ยังไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่
เสิ่นหยวนถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นนางก็หันหน้ากลับมาสั่งไฉ่เวย “เจ้าไปจุดกำยานมาเตาหนึ่ง”