ฉยงเหนียงฟังจนตะลึงงัน ว่าอย่างไรนะ!…ที่แท้สกุลหลิ่วกับสกุลซั่งก็แอบหารือกันเรียบร้อยแล้ว น่าขันที่ข้าเพิ่งมารู้เป็นคนสุดท้าย…สกุลชุยประสบเคราะห์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ เหตุใดสามีภรรยาสกุลชุยยอมไปขอร้องชุยผิงเอ๋อร์แทนที่จะมาหาข้าเล่า
คิดมาถึงตรงนี้ ในใจฉยงเหนียงก็พลันขมฝาด
เมื่อแรกที่รับรู้ชาติกำเนิดของตน ฉยงเหนียงยังอายุน้อย ในใจนางนั้นสามีภรรยาสกุลหลิ่วต่างหากคือญาติที่สนิทที่สุด พอคิดว่าจะต้องพรากจากบิดามารดากับพี่ชายที่คุ้นเคย กลับไปอยู่ในครอบครัวพ่อค้าที่ต่ำต้อย ใช้ชีวิตประสาชาวบ้านกับเหล่าคนแปลกหน้า นางก็เอาแต่ร่ำไห้ทั้งคืนจนน้ำตาชุ่มหมอนกับที่นอน
ยังดีตอนนั้นหลิ่วเมิ่งถังเอ่ยปากลั่นวาจาว่า… ‘สกุลชุยเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้าที่ตั้งแผงขายขนมอยู่ในตลาด ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน บุตรีที่สกุลหลิ่วถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาสิบหกปีจะให้กลับไปร้องขายของอยู่ริมถนนได้อย่างไรกัน อีกอย่าง เรื่องเสียชื่อก็ไม่ควรให้แพร่งพรายออกนอกเรือน ในเมืองหลวงมีใครบ้างไม่รู้ว่าหลิ่วเจียงฉยงคุณหนูสกุลหลิ่วเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ หากจู่ๆ ส่งนางคืนไป ย่อมทำให้ผู้อื่นติฉินนินทาจนเสื่อมเสียชื่อเสียงอันดีงามของสกุลหลิ่ว อย่างไรเสียสกุลหลิ่วมีบุตรสาวมากเพียงไรก็เลี้ยงไหว’
หลิ่วเมิ่งถังจึงปฏิเสธคำอ้อนวอนของสกุลชุยที่จะขอรับตัวบุตรสาวแท้ๆ กลับไป
ต่อมาสกุลชุยไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี โวยวายจะไปฟ้องร้องทางการเพื่อทวงคืนบุตรสาว สกุลหลิ่วถึงได้ฝืนตอบรับให้พวกเขาสามีภรรยามาพบปะฉยงเหนียงเพื่อฟังความเห็นของนาง
น่าขันที่ตอนนั้นในใจนางยังซาบซึ้งต่อสกุลหลิ่ว ประกอบกับเข้าใจผิดว่าสกุลชุยขายบุตรสาวแลกเงินทอง หมายพึ่งพิงผู้มีลาภยศ ความดื้อดึงของสกุลชุยจึงทำให้นางนึกรังเกียจขึ้นมาทันที รู้สึกว่าหากตนตกอยู่ในมือพ่อค้าที่เสื่อมทรามไร้ยางอายเยี่ยงนี้ก็เท่ากับร่วงลงสู่กองเพลิง ไม่มีวันจะได้โงหัวขึ้นมาอีกแล้ว ดังนั้นเมื่อได้พบสามีภรรยาคู่นั้น ได้เห็นเครื่องแต่งกายอันซอมซ่อไม่ถูกกาลเทศะกับท่าทีอึดอัดวางตัวไม่ถูกดูไม่อาจสู้หน้าผู้อื่นนั้นแล้ว นางจึงอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าเดียดฉันท์ เอ่ยคำประชดประชันที่รุนแรง แล้วพูดตรงๆ ว่า ‘ข้ายอมตายก็ไม่ขอกลับไปกับพวกเขา’
นับแต่นั้นพวกเขาก็ไม่ได้มารบเร้าเซ้าซี้ที่จวนสกุลหลิ่วอีก ยิ่งไม่ได้มาปรากฏตัวเบื้องหน้านางนับแต่นั้น
แม้กระทั่งตอนที่นางออกเรือนแล้วได้ยินว่าสกุลชุยตกยากถึงขั้นต้องอพยพไปหาเลี้ยงชีพที่กวนซี เงินหนึ่งร้อยตำลึงที่นางไหว้วานคนนำไปให้ก็ยังถูกคนสกุลชุยส่งคืนมาถึงจวนสกุลซั่งครบทั้งจำนวน เพียงแนบจดหมายบอกชัดว่าให้นางเป็นบุตรีสกุลหลิ่วและออกเรือนไปอย่างสบายใจ พวกเขาจะไม่มาหานางอีก จะไม่ทำให้ผู้อื่นล่วงรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของนางเด็ดขาด
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว คำพูดและการกระทำของนางในวันนั้นทำให้บุพการีผู้ให้กำเนิดต้องปวดใจเพียงใด
วันนี้เมื่อเหยาซื่อเอาพี่ชายสกุลชุยมาข่มขู่บีบคั้นให้นางยอมก้มศีรษะ คำซักถามนับพันหมื่นประโยคของนางจึงล้วนติดค้างอยู่ในลำคอ ไม่อาจเปล่งออกจากปากได้อีก
เดิมบิดามารดาสกุลชุยก็เสียบุตรสาวไปแล้ว หากขาดบุตรชายไปอีกคน ไม่เท่ากับเอาชีวิตสองสามีภรรยาผู้เฒ่านั้นหรอกหรือ
เห็นนางไม่พูดจา เหยาซื่อค่อยคลี่ยิ้มผ่อนคลายสีหน้า “เจ้าอย่าได้คิดไม่ตกไปเลย ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนครอบครัวเดียวกัน ทางด้านสกุลชุยเจ้าก็ไม่ต้องกังวล พ่อของพวกเจ้าจะไหว้วานสหายร่วมรุ่นช่วยจัดการให้เรียบร้อยเอง…”
เมื่อออกมาจากจวนสกุลหลิ่ว ฉยงเหนียงก็ขึ้นรถม้ากลับจวนสกุลซั่งไปอย่างใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว