อันที่จริงเสื้อผ้าเหล่านี้แม้ผ่านการซักจนเก่าไปบ้าง แต่ก็ยังไม่มีรอยปะชุน ฝีเข็มก็ล้วนถี่แน่น ปกเสื้อยิ่งได้ชุยผิงเอ๋อร์ที่รักสวยรักงามปักลวดลายไว้ ฉยงเหนียงสวมแล้วพอดีตัวทีเดียว
หลายวันนี้ฉยงเหนียงได้ยินตอนที่บิดามารดาคิดถึงชุยผิงเอ๋อร์แล้วสนทนากันอย่างสะทกสะท้อนใจ พวกเขาต่างก็งุนงงสงสัยว่าชุดหรูฉวิน* ตัวที่ชุยผิงเอ๋อร์สวมไปจวนสกุลหลิ่วในคราแรกนั้นเป็นชุดเศษผ้าที่ไปปะชุนมาจากที่ใดกันแน่ ใช้เศษผ้าปะซ้อนเศษผ้าจนดูยากไร้ถึงเพียงนั้น ทำเอาเหยาซื่อพูดแดกดันตรงๆ ว่าสามีภรรยาสกุลชุยใจร้ายใจดำกับบุตรสาว
อาจเพราะสาเหตุนี้ก็เป็นได้ ภายหลังฉยงเหนียงกลับมาที่สกุลชุย ทางสกุลหลิ่วจึงส่งเสื้อผ้าตามมาให้อีกไม่น้อย ถือว่าเหยาซื่อให้การดูแลฉยงเหนียงในฐานะแม่ลูกเป็นครั้งสุดท้าย
ทว่าตอนที่ส่งเสื้อผ้ามา ฉยงเหนียงในเวลานั้นร่ำไห้ตะโกนใส่หญิงรับใช้อาวุโสที่มาส่งเสื้อผ้าว่าอยากกลับไปพบเหยาซื่อ นางร่ำไห้อย่างหนักจนทำให้หญิงรับใช้อาวุโสแทบไม่อาจปลีกตัวกลับไป นับแต่นั้นจึงไม่เห็นคนสกุลหลิ่วส่งเสื้อผ้ามาอีกเลย
ฉยงเหนียงในตอนนั้นเห็นสกุลหลิ่วชักช้าไม่ส่งคนมารับนางเสียที จึงประท้วงด้วยการโยนเสื้อผ้าที่ส่งมาหลายห่อนั้นเข้าเตาไฟจนไหม้หมดในคราวเดียว
แน่นอนว่าเรื่องนี้ฉยงเหนียงคนปัจจุบันได้ยินหลิวซื่อเอ่ยถึงในภายหลัง หลิวซื่อกลัวว่านางจะคับอกคับใจจึงปลอบโยนด้วยถ้อยคำอันนุ่มนวล บอกว่ารอตอนฉลองวันขึ้นปีใหม่จะซื้อชุดสวยให้นางใส่ รับรองไม่ด้อยกว่าที่สกุลหลิ่วส่งมาเด็ดขาด
เมื่อฉยงเหนียงได้ยินเรื่องล้างผลาญที่ตนเคยกระทำก็โกรธฮึดฮัดอยู่พักหนึ่ง มิใช่นางเสียดายเสื้อผ้าเหล่านั้น ทว่าโกรธตนเองในวัยสิบห้าคนเก่าที่ไม่รู้จักคิดเพียงนี้ หากตอนนั้นพับเสื้อผ้าใส่ห่อไปจำนำที่โรงรับจำนำ มิเท่ากับช่วยค่าใช้จ่ายทางบ้านได้แล้วหรือ
ชาติก่อนในตอนแรกที่นางดูแลปากท้องของสกุลซั่ง นางยังมีทุนรอนจากสินเจ้าสาวที่สกุลหลิ่วให้มา ต่างจากปัจจุบันที่กลับมาอยู่สกุลชุย ดังคำกล่าวว่า…ทุกเรื่องยากที่การเริ่มต้น นางย่อมต้องคิดคำนวณให้ถี่ถ้วน
แม้ตอนนี้สกุลชุยจะยากจน แต่ก็ยังไม่นับว่าตกอับ เพียงแค่ทุกมื้อไม่เห็นธัญพืชเนื้อดี ส่วนเนื้อหมูครึ่งจิน ที่ไปซื้อเป็นครั้งคราวก็ล้วนเลือกแต่ที่มีมันหนาเตอะ หลังจากซื้อกลับบ้านมาเคี่ยวเป็นน้ำมันหมูแล้ว ก็จะนำกากหมูที่ทอดจนกรอบมาผัดกับต้นกระเทียมให้ฉยงเหนียงกินเป็นกับข้าว
ดูจากท่าทางของชุยฉวนเป่ายามที่มองชามข้าวของนางแล้วกลืนน้ำลาย ฉยงเหนียงก็รู้ได้ว่ากับข้าวชนิดนี้ถือเป็นของฟุ่มเฟือยในบ้านสกุลชุย ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าเรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือต้องทำให้สกุลชุยหาเงินซื้อเนื้อสัตว์ได้
แน่นอนว่าต่อไปยังต้องเก็บเงินให้ได้จำนวนหนึ่ง หาไม่รอถึงยามที่บิดาป่วยหนัก สกุลชุยก็จะต้องเผชิญความทุกข์ยากต่างๆ ซ้ำรอยชาติก่อนอีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉยงเหนียงจึงเลือกปิ่นกลัดเคลือบทองคำอันหนึ่งจากในหีบเสื้อผ้าแล้วหมุนตัวมาถามชุยฉวนเป่า “พี่ชาย โรงรับจำนำแถวนี้อยู่ที่ใดท่านรู้หรือไม่”
เดิมทีชุยฉวนเป่านึกว่าน้องสาวอาการเก่ากำเริบ คิดจะหยิบชุดหรูหราออกมาแต่งตัวอีกแล้ว เขาไม่ได้คิดเลยว่านางจะเอ่ยเรื่องไปโรงรับจำนำ จึงตะลึงงันไปทันที
ฉยงเหนียงเห็นเขาไม่ขานตอบก็ยืนค้างอยู่บนม้านั่งไม้พลางชี้แจง “ข้าอยากจะซื้อของสักหน่อย แต่ไม่สะดวกใจจะขอเงินจากท่านแม่ ไว้ข้าจำนำปิ่นนี้แล้วจะซื้อลูกอมให้พี่กินดีหรือไม่”