“พี่ซั่ง เอ่ยถึงตำราเล่มที่สามแล้ว ไฉนจู่ๆ เงียบเสียงไปเสียเล่า”
คนจากหมู่บ้านเดียวกันที่อยู่ด้านข้างของซั่งอวิ๋นเทียนพลันยื่นมือไปตบบ่าเขา ซั่งอวิ๋นเทียนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างโรงเตี๊ยมถึงค่อยได้สติคืนมา
เขาเพิ่งอายุสิบเจ็ด นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเข้าสอบในเมืองหลวง มารดาเกรงว่าระหว่างทางเขาจะขาดคนดูแล จึงไหว้วานฟางต๋าผู้เข้าสอบจากหมู่บ้านเดียวกันให้คอยช่วยเหลือเป็นพิเศษ
ค่าของกินของใช้ในเมืองหลวงนั้นสูงกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงทำเช่นเดียวกับผู้เข้าสอบส่วนใหญ่เสียเลย กล่าวคือมาพำนักเตรียมสอบที่ตำบลฝูหรงนี้ก่อนชั่วคราว รอถึงวันสอบค่อยรุดเข้าเมืองหลวง
คืนนี้หลังมื้ออาหาร ทั้งสองอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงมายืนพิงหน้าต่าง อาศัยแสงสว่างจากโคมไฟที่แขวนสูงของหอสุราซึ่งอยู่ติดกันเพื่อทบทวนตำราเตรียมการสอบที่จะมาถึง
แต่ใครจะรู้ว่าขณะอ่านอยู่ ซั่งอวิ๋นเทียนกลับเงียบเสียงไปเสียอย่างนั้น ฟางต๋ามองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นเพียงท้ายทอยของฉยงเหนียงที่ผละจากข้างกำแพงลานเรือนไปพอดี
แม้ไม่ได้เห็นใบหน้าตรงๆ ทว่าดูจากรูปร่างที่อรชรนั้นก็เพียงพอจะเห็นได้ว่าเป็นคนงามผู้หนึ่ง ฟางต๋าจึงหยอกเย้าทันที “ตำราย่อมจะนำพามาซึ่งหญิงงาม พี่ซั่งมีความรู้ไม่ธรรมดา ไยต้องกังวลเล่าว่าวันหน้าจะมิอาจสอบผ่านและได้แต่งกับคนงามที่พึงใจ”
เมื่อครู่ซั่งอวิ๋นเทียนเองก็บังเอิญเหลือบไปเห็น ถึงได้ถูกรอยยิ้มอันหวานซึ้งของแม่นางน้อยที่อยู่ข้างกำแพงลานเรือนด้านนั้นทำให้เคลิบเคลิ้มเผลอสติโดยไม่รู้ตัว บัดนี้เมื่อถูกผู้อื่นจับได้ เขาจึงพลันขัดเขินจนใบหน้าร้อนฉ่าหัวใจเต้นแรง รีบโบกมือชี้แจงว่าตนเพียงมาเมืองหลวงเพื่อลองสอบ ไม่ได้คิดหวังว่าจะโชคดีสอบผ่าน
หลังจากพูดหยอกเย้าจบ ฟางต๋าก็หยิบห่อกระดาษหนึ่งห่อออกมา “วันนี้เจิ้งจวี่เหริน* ซื้อขนมมาหนึ่งถาดใหญ่ ด้านบนถึงกับวาดภาพมงคลแจ้งข่าวการสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน เขาสนิทกับข้าเป็นการส่วนตัวจึงตั้งใจแบ่งขนมสองชิ้นมาให้ข้าเพื่อเป็นสิริมงคล ตอนนี้ท่านก็มาชิมขนมกับข้าเถอะ” เขาพูดพลางคลี่ห่อกระดาษออก
แลเห็นบนขนมแม้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพถนน ทว่าลายเส้นของกระเบื้องมุงหลังคาและต้นหลิวล้วนช่ำชองละเอียดลออ ยากจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าในตำบลเล็กๆ ถึงกับมียอดฝีมือด้านการวาดภาพเช่นนี้อยู่ด้วย มิน่าเล่าผู้คนถึงกล่าวว่าใต้พระบาทโอรสสวรรค์มีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน ต่อให้เป็นตำบลริมน้ำที่อยู่ติดกับเมืองหลวงก็ยังมียอดคนผู้สันโดษอาศัยอยู่ ทำให้ซั่งอวิ๋นเทียนที่ชื่นชอบการวาดภาพมาแต่ไหนแต่ไรประคองขนมขึ้นพินิจพิเคราะห์อยู่เป็นนาน ไม่อาจหักใจกินเข้าปากได้เสียที
อาการลุ่มหลงเพียงนี้ทำให้ฟางต๋าหัวเราะร่วนทีเดียว “รีบๆ กินเถอะ ต่อให้ขนมนี่งดงามเพียงใดก็เป็นของที่เสียได้ ได้ยินว่าพรุ่งนี้พวกเจิ้งจวี่เหรินยังจะไปจองซื้อที่แผงขนมนั้นอีก หากท่านชื่นชอบก็ไปชมความครึกครื้นด้วยกันสิ”
ซั่งอวิ๋นเทียนตอบรับด้วยความยินดี
ตอนนี้เองเสี่ยวเอ้อร์ที่ชั้นล่างก็นำเทียบคารวะหนึ่งฉบับมาส่ง ชี้แจงว่าตอนกลางวันที่พวกเขาสองคนออกไปข้างนอก มีคุณหนูนั่งรถม้าคันหรูผู้หนึ่งสั่งสาวใช้นำเทียบนี้รวมถึงโสมอีกหนึ่งกล่องมามอบให้ซั่งอวิ๋นเทียนผู้มาจากอำเภอเม่าไฉ
ซั่งอวิ๋นเทียนรับเทียบคารวะที่กรุ่นกลิ่นหอมของดอกไม้มาเปิดออกดูด้วยความฉงน ด้านในคือลายมือที่งามเป็นระเบียบ เขียนเพียงว่า…
‘ข้าคือคุณหนูสกุลหลิ่วแห่งเมืองหลวง นามว่าผิงชวน เร็วๆ นี้ได้ยินว่าซั่งอวิ๋นเทียนบุตรชายอดีตอาจารย์สอนหนังสือของหลิ่วเจียงจวีพี่ชายข้าจะมาสอบที่เมืองหลวงในไม่ช้า ข้าจึงจัดเตรียมของกำนัลแทนพี่ชาย หวังว่าคุณชายซั่งจะรับไว้’