หลังจากฉยงเหนียงชักแม่น้ำทั้งห้า ศีรษะของหลิวซื่อก็ยังคงส่ายไปมาดุจกลองป๋องแป๋ง สุดท้ายเอ่ยปากตรงๆ ว่าให้ฉยงเหนียงไม่ต้องกังวลเรื่องทำมาหากินของบิดามารดา สรุปคือจะไม่ทำให้นางท้องหิวแน่นอน
ตอนนี้เองชุยจงที่กินข้าวไปหลายคำแล้วสูบยาเส้นเงียบๆ ที่ข้างด้านมาตลอดก็เอ่ยปาก “ฉยงเหนียงอยู่ในตระกูลใหญ่รอบรู้กว้างขวาง ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผล เพียงแต่การซื้อร้านค้าเป็นเรื่องใหญ่ไม่อาจบุ่มบ่าม อย่างน้อยก็ต้องไปดูด้วยตนเองก่อน พรุ่งนี้พ่อกับแม่ไม่ตั้งแผงไม่หาบขนมแล้ว ให้พี่ชายเจ้าอยู่ที่บ้าน พ่อจะจ้างรถเทียมลาคันหนึ่ง พวกเราสามคนไปวนดูที่เชิงเขาหวงซานกันสักหน่อย”
หลิวซื่อเห็นหัวหน้าครอบครัวถือวาจาเหลวไหลของเด็กสาวเป็นจริงเป็นจังก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจ ทว่าก็ไม่เหมาะจะด่าทอความเลอะเลือนของตาเฒ่าต่อหน้าบุตรชายบุตรสาว นางจึงได้แต่หุบปากเงียบไปก่อน
รอจนเก็บชามตะเกียบเสร็จ สองสามีภรรยากลับเข้าห้องแล้ว หลิวซื่อถึงนั่งขัดสมาธิบนเตียง ตบผ้าห่มเอ่ยประท้วงอย่างเร่งร้อน “ตาเฒ่าหนังเหนียว! นึกว่าตนเองมีปัญญาจะเป็นพ่อค้ามั่งคั่งได้จริงๆ น่ะหรือ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอพวกถลุงเงินแบบไม่ใช้หัวคิด ในมือพวกเราถึงได้เห็นเงินแท้ทองจริงกับเขาบ้าง ต่อไปไม่ใช่จะหาใบไม้ทองคำได้ทุกวันเสียหน่อย! บุตรชายเป็นหนุ่มขึ้นทุกวัน ใกล้จะต้องทาบทามลูกสะใภ้ให้เขาแล้ว ตอนฉยงเหนียงออกเรือนก็ต้องจัดเตรียมสินเจ้าสาวที่เข้าท่าให้นางเช่นกัน มีอย่างไหนบ้างไม่ต้องใช้เงิน ถ้าซื้อร้านแล้วขาดทุนขึ้นมา พวกเรากลับตำบลฝูหรงก็ไม่มีที่ให้ตั้งแผงแล้ว เจ้าก็รู้ว่าเหล่าอู่ที่ขายบะหมี่รวมมิตรอยู่ติดกัน จ้องจะยึดแผงของพวกเรามาตั้งกี่ครั้งกี่หน…”
ชุยจงสูบยาเส้นสองคำ ก่อนจะพลันเคาะกล้องยาใส่ผนังแรงๆ “ต่อให้เขาไม่ยึดไป พวกเราก็อยู่ตำบลฝูหรงต่อไปไม่ได้แล้ว วันสองวันนี้เจ้าอยู่แต่ในบ้าน ไม่รู้หรอกว่าคำนินทาข้างนอกลือกันจนกลายเป็นเช่นไร!”
แต่ไรมาหลิวซื่ออยู่บ้านไม่ต้องฟังเสียงใคร พอเห็นหัวหน้าครอบครัวซึ่งปกติเงียบขรึมพลันมีโทสะ นางจึงตกใจจนสะดุ้งตัวโยน “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ”
ชุยจงขมวดคิ้วตอบ “ไม่รู้เป็นใครแต่งเรื่องว่าฉยงเหนียงของพวกเราถูกฉุดคร่าไปจนเสียความบริสุทธิ์แล้ว…ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปฉยงเหนียงจะออกเรือนได้อย่างไรกัน ไม่สู้ไปจากตำบลนี้แต่เนิ่นๆ ให้พวกเขาไม่มีเรื่องมาพูดสนุกปากอีก!”
หลิวซื่อฟังจบก็พลันเดือดดาล รีบซักไซ้ชุยจงว่าคนข้างนอกพูดเช่นไรบ้าง ทว่าตาเฒ่ากลับอุดรูทวารไม่ผายลมออกมาเสียที เอาแต่ขยับปากหมุบหมับสูบยาเส้นต่ออีกหนึ่งกล้อง
นางอารมณ์ร้อนยิ่ง ทั้งมีนิสัยเป็นแม่ไก่ปกป้องลูก จึงรีบเหยียบส้นรองเท้าผ้าแล้วคลุมเสื้อหนึ่งตัวพุ่งออกจากลานเรือนไปทันที
ตำบลฝูหรงมีขนาดเล็ก บริเวณที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงจะออกมาคุยเล่นรับลมเย็นกันในยามตะวันรอนของทุกวันก็มีอยู่แค่ไม่กี่แห่ง หลิวซื่อมุ่งหน้าเลียบแนวคันป้องกันตลิ่งไปไม่นานนักก็ถึงใต้ต้นไหว ขนาดใหญ่ที่อยู่กลางตำบล
นางไม่ได้ก้าวขึ้นบันไดของคันป้องกันตลิ่ง เพียงยืนอยู่ด้านล่างฟังผู้ที่นั่งอยู่ข้างบนสนทนาสัพเพเหระ
ได้ยินเฉียนซื่อภรรยาของคนขายเนื้อแซ่จางเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน “นึกว่าแค่ผิงเอ๋อร์ที่เคยอยู่บ้านนั้นไม่สำรวมกิริยา เขียนคิ้วแต่งหน้ามายั่วเย้าวั่งเอ๋อร์ลูกข้าทุกวี่วัน นึกไม่ถึงบุตรสาวที่เปลี่ยนตัวมาใหม่จะหูตาแพรวพราวยิ่งกว่า ถึงขั้นโปรยสายตาหยาดเยิ้มให้คนมีเงินกลางถนนใหญ่ ยั่วยวนจนหัวใจบุรุษคันคะเยอ ต้องฉุดตัวนางขึ้นรถม้าไปทันที…”
วาจายังไม่ทันจะขาดคำก็มีคนร้องรับ “ฉุดขึ้นไปแล้วเป็นอย่างไรต่อหนอ”
เฉียนซื่อพลันเปล่งเสียงหัวเราะบาดหู “ยังจะเป็นอย่างไรได้เล่า ชายหญิงก็คงอิงแอบแนบชิด แม่นางน้อยคลายสายรัดกระโปรงแล้วก็ย่อมจะเสียเปรียบนายท่านน่ะสิ! ได้ยินว่าตอนลงจากรถม้านางถึงกับเดินกะเผลกกะปลกกะเปลี้ย ไม่รู้เผชิญเมฆฝนไปกี่หน…”