“คุณหนึ่งจะมาอิจฉาอะไรกับเรื่องแค่นี้ล่ะครับ ถึงผมจะเป็นคนโปรดแค่ไหน ยังไงผมก็ไม่มีวันเป็นหลานของคุณย่าไปได้ คุณย่าก็แค่เอ็นดูผม สงสารผม แต่ไม่มีทางจะรักไปกว่าหลานสาวคนเดียวของท่านอย่างคุณหนึ่งหรอก แล้วผมก็ไม่เชื่อเรื่องสมบัติอะไรนั่นด้วย ถ้าคุณย่าจะยกบ้านหลังนั้นให้ใครสักคน ผมเชื่อว่าท่านคงนึกถึงคุณหนึ่งเป็นคนแรก”
ปฐวีนึกว่าคำพูดดีๆ ที่เขาอุตส่าห์เค้นออกมาอย่างสุดความสามารถในเวลานี้จะทำให้น้ำหนึ่งรู้สึกดีขึ้น แต่มันกลับทำให้หญิงสาวร้องไห้โฮออกมาเสียอย่างนั้น
“ร้องไห้ทำไมล่ะคุณหนึ่ง ผมก็ว่าผมพูดดีด้วยสุดชีวิตแล้วนะ”
“เพราะพี่พูดดีเกินไปน่ะสิ”
น้ำหนึ่งตอบเสียงเครือ เธอไม่น่ากลับมายุ่งวุ่นวายกับปฐวีตั้งแต่แรกเลย ไม่น่ามาเลยจริงๆ
“อ้าว ดีเกินไปก็ผิดอีก อย่างนี้พูดไม่ดีก็คุ้มกว่าสิ เพราะมันพูดง่ายกว่าเยอะ”
“พี่วี!” น้ำหนึ่งเอื้อมมือไปตีแขนปฐวีจนสุดแรง
“โอ๊ย! หยุดตีผมก่อนคุณหนึ่ง ผมขับรถอยู่นะ เมื่อกี้ถึงทางโค้งหักศอกพอดีด้วย”
คำเตือนของปฐวีทำให้น้ำหนึ่งต้องกลับมานั่งป้ายน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างเงียบๆ เมื่อหันไปมองก็พบว่าเขากำลังเหลือบมองมาทางนี้พอดี
“ยังไงผมก็ไม่คิดจะพูดไม่ดีกับคุณหนึ่งจริงๆ หรอก คนเราผิดพลาดกันได้ผมไม่โกรธ ผมจะช่วยพูดแก้ตัวกับคุณย่าให้เองว่าเราแค่แกล้งกันเล่น แต่มันเลยเถิดไปไกล อย่างนี้ดีไหม”
น้ำหนึ่งได้แต่พยักหน้าทั้งน้ำตา เธอไม่ได้ร้องไห้เพราะไม่พอใจคำพูดเขา แต่เธอเสียใจที่ปล่อยให้ทิฐิ ปล่อยให้ความโง่เขลามาบดบังสิ่งที่เธอควรจะมองเห็นและคิดได้แต่แรก
ถ้าเพียงแต่เธอจะไม่โกรธฝังใจกับเรื่องที่ปฐวีกล้าก้าวออกไปจากชีวิตของเธออย่างอวดดี ไม่เอาแต่โทษที่เขาไม่ยอมทำตามในสิ่งที่เธอต้องการ ทำให้เธอต้องโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังในต่างแดน เธอก็คงจะไม่คิดกลับมาหาเขาในวันนี้
ทำไมกันนะ ทำไมปฐวีถึงยังเหมือนเดิม ทำไมเขาไม่เปลี่ยนไปเป็นผู้ชายเห็นแก่เงินอย่างที่เธออยากจะให้เป็น ทำไมเขาไม่เป็นคนดีให้มันน้อยกว่านี้ ทำไมเขาถึงไม่ทำให้เธอเกลียดขี้หน้าเขาได้จริงๆ เสียที
ประตูรั้วหน้าทางเข้าบ้านคุณย่าบุษยาปิดสนิท และแม้ว่าปฐวีจะโทรติดต่อไปหลายครั้งก็ไม่มีคนรับสายแต่อย่างใด ชายหนุ่มเหลือบมองดูนาฬิกาที่หน้าคอนโซลรถก็พบว่าเพิ่งจะหกโมงเย็นเท่านั้นเอง แต่คงเพราะเป็นฤดูหนาวฟ้าก็เลยมืดเร็วจนทำให้ดูเหมือนค่ำกว่านั้น
“คุณย่าไม่รับเลยเหรอ นี่เรารอตั้งสิบห้านาทีแล้วนะ” น้ำหนึ่งถามอย่างร้อนรน
“ไม่เลย แปลกมาก…ผมเคยมาทำธุระที่เชียงใหม่แล้วแวะมาหาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าตั้งหลายรอบ ก็เห็นคุณย่าอยู่บ้านทุกครั้ง”
น้ำหนึ่งนิ่งไปอย่างครุ่นคิด พยายามนึกว่าช่วงนี้คุณย่ามีธุระสำคัญต้องไปทำที่ไหนหรือไม่ ระหว่างนั้นก็มีเงาของใครหรืออะไรบางอย่างทาบทับเข้ามาบนกระจกรถฝั่งที่เธอนั่ง จึงอดหันไปมองไม่ได้
หญิงสาวเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงที่กำลังแนบชิดอยู่กับกระจกรถ ก่อนจะถูกผลักเซออกไปโดยมืออวบอูมของหญิงวัยทองในไม่กี่อึดใจต่อมา
“ป้ายวง!”
น้ำหนึ่งรีบลดกระจกลงในทันใด
“คุณหนึ่ง…”
ยวงแก้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ น้ำหนึ่งก็กลับมาที่นี่อีกครั้งโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า หญิงวัยกลางคนผู้นี้เป็นแม่บ้านประจำบ้านของคุณย่าบุษยามานานตั้งแต่น้ำหนึ่งจำความได้ แต่พอเธอเริ่มไม่ค่อยได้มาเยี่ยมคุณย่าก็เลยพลอยเหินห่างกับคนบ้านนี้ไปโดยปริยาย
“ทำไมพี่วีโทรไปถึงไม่มีใครรับเลยล่ะ หายไปไหนกันหมด”
“เอ้อ…คุณนายไม่อยู่บ้านค่ะ เธอไปเที่ยวยุโรปกับเพื่อน น่าจะอีกเป็นอาทิตย์กว่าจะกลับ”
‘คุณนาย’ เป็นคำที่ยวงแก้วใช้เรียกคุณย่าบุษยามาตลอดหลายสิบปีนับตั้งแต่เข้ามาเป็นแม่บ้านให้อีกฝ่าย
“คุณย่าไปเที่ยวยุโรป” น้ำหนึ่งทวนคำพูดของอีกฝ่าย “ตอนนี้เนี่ยนะคะ”
ยวงแก้วพยักหน้ารับอย่างแกนๆ ก่อนจะตัดบทด้วยการขอให้ช่วยพานักเขียนชายวัยกลางคนที่เอาหน้ามาแปะกับกระจกรถเมื่อครู่กลับบ้านหน่อย เพราะตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพไม่มั่นคงนักจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ในตัว
น้ำหนึ่งทำท่าจะเอ่ยปากแย้งเพราะยังค้างคาใจกับการที่อยู่ๆ คุณย่าบุษยาก็ไปต่างประเทศโดยไม่บอกกล่าวสักนิด แต่ปฐวีก็ยื่นหน้ามาพูดแทรกเสียก่อนว่า
“แล้วนั่นทำไมอาอรรถถึงได้เมาแอ๋ขนาดนั้นได้ล่ะครับ ปกติผมไม่เคยเห็นดื่มเยอะอย่างนี้เลยนี่”
“ก็…” ยวงแก้วอึกอัก ท่าทางกระสับกระส่าย “ไปดื่มกับเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมาน่ะ ยังไงวีช่วยพาขึ้นรถก่อนเถอะ ไว้ค่อยไปถามกันทีหลัง ป้าหนักจะแย่แล้ว”
ปฐวีจึงเปิดประตูลงจากรถไปช่วยพาอรรถขึ้นไปนั่งบนเบาะหลัง เสร็จเรียบร้อยก็รีบขับรถเลี้ยวออกไปจากหน้ารั้วเพื่อตรงไปบ้านของอรรถซึ่งอยู่เลยไปอีกราวเจ็ดร้อยเมตรเท่านั้น แม้ระหว่างนั้นน้ำหนึ่งจะเอาแต่ย่นหัวคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอย่างที่อยากจะทำ คงเพราะกำลังรู้สึกใจไม่ดีหลังจากเพิ่งพบว่าที่พึ่งสุดท้ายอย่างคุณย่าจะไม่อยู่นานนับสัปดาห์ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มีญาติผู้ใหญ่อย่างอรรถอยู่คนหนึ่ง
ถึงแม้ตอนนี้…จะเมาอยู่ก็ตาม