จางตั๋วนิ่งเงียบ มือค่อยๆ กำเป็นหมัด จ้าวเชียนกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร กลับเห็นจางตั๋วยื่นมือออกไปทันใด กระชากแถบผ้าดำตรงตาของคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
โชคดีที่อยู่ใต้เงาต้นเหมย แสงตะวันกระจายตัวไม่ทำให้ระคายเคืองตา
แม้ว่าเขาจะปรับตัวไม่ได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นทนไม่ไหว เพียงแค่พยายามหันเข้าร่มเงาหนาทึบเพื่อหลบแสง แต่กลับถูกเจียงหลิงดึงตัวกลับมา
จางตั๋วถือแถบผ้าลายสนลู่ลมพลางโน้มตัวลงมา มองดวงตาที่ลูกตาขาวขุ่นคู่นั้นแล้วพูดขึ้นทันใดว่า “เฉินเซี่ยว”
สองคำนี้แม้จะเอ่ยออกมาอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ทำให้จ้าวเชียนที่อยู่ด้านข้างลิ้นแข็งไปทันใด
ทว่าเฉินจ้าวกลับหัวเราะ เสียงพูดราวลมพัดดอกเหมย สงบนิ่งอ่อนโยน
“ข้าเป็นคนเมืองอิ่งชวน เลื่อมใสเฉินเซี่ยวแห่งตงจวิ้นมาหลายปี ตอนเด็กก็มีปณิธานจะเลียนแบบแล้ว วันนี้ได้ยินคำพูดของใต้เท้าราชเลขาธิการ ถือว่าไม่เสียทีที่ยึดมั่นมาสิบปี”
จ้าวเชียนรีบเดินไปแตะไหล่ของจางตั๋ว พูดเสียงเบาว่า “จะให้ข้าพูด…ก็เหมือนอยู่ แต่เฉิน…ไม่ใช่ เขากับเฉินวั่งตายในการประหารพร้อมกัน เจ้าเป็นคนตรวจสอบฐานะเอง ตอนนี้มาพูดเช่นนี้น่ากลัวจริง”
จางตั๋วคลายมือ แถบผ้าสีดำลายสนลู่ลมนั้นก็ปลิวไปตามลม เขายืดตัวยืนตรง ปล่อยให้ลมที่หอบหิมะดอกเหมยปะทะเข้าใส่
“สกุลเฉินแห่งตงจวิ้นถูกฆ่าล้างตระกูล ตอนนี้ต่อให้เป็นคนที่เสแสร้งแกล้งบ้าก็ทำไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเสี่ยงตาย เหตุใดยังออกจากเขาอีก”
“อาอิ๋น…” เฉินจ้าวเรียกชื่อที่อ่อนโยนนี้ออกมาเบาๆ “เพราะเป็นคนที่ข้าให้ความสำคัญ นางยอมทำผิดกฎฆ่าคนเพื่อข้า เหตุใดข้าจะออกจากเขามาสู่โลกภายนอกเพื่อนางไม่ได้”
จางตั๋วได้ฟังก็ตบมือหัวเราะสดใส ก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน “ข้าไม่ต้องการที่ปรึกษา เจียงหลิง แขวนคอ”
“อะไรนะ แขวนคอหรือ จางทุ่ยหาน เจ้า…”
จ้าวเชียนร้อนใจจะไล่ตามเขาไป กลับได้ยินเสียงของเฉินจ้าวดังขึ้นข้างหลัง
“ใต้เท้าจางไม่อยากได้ดวงตาที่เขตตงจวิ้นสักคู่หรือ”
จางตั๋วก้าวเข้าประตูไปแล้ว ไม่ชะงักฝีเท้าแม้แต่น้อย เขาตอบกลับเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น”
ผู้ใดจะรู้ว่าคนข้างหลังกลับพูดเสียงดังว่า “เช่นนั้นท่านเชื่อวิธีการลงทัณฑ์สอบสวนของตัวเองหรือไม่”
จางตั๋วหันหน้ามา “หึ เจ้าอยากลองดูหรือ”
“มีใจอยากจะลอง”
“เฉินจ้าว ถ้าเจ้าอยากได้ประโยชน์ ไปขอจากจิ้นอ๋องได้เลย เขาต้องต้อนรับเจ้าราวกับแขกที่มีเกียรติสูงส่งแน่นอน เหตุใดต้องมาเป็นเชลยของข้าด้วย”
คนผู้นั้นกลับยิ้มจางอยู่ใต้ร่มเงาต้นเหมย สบายใจเป็นปกติ ไม่มีความตื่นกลัวราวภูเขาถล่ม ร่างแตกสลายเลย
“ใครให้อาอิ๋นไร้ตา ร้อนรนจนไม่เลือกทาง ไปเจอรถม้าของใต้เท้าราชเลขาธิการเข้า”
“ได้” จางตั๋วหมุนตัวกลับมา “หากทนไหว ข้าจะให้เจ้าไปที่ตงจวิ้น และให้โอกาสสีอิ๋นได้มีชีวิตต่อไป”
“ช้าก่อน”
“คิดจะเปลี่ยนใจหรือ”
“ไม่ใช่ ก่อนจะทำเช่นนั้นข้าอยากพบอาอิ๋นสักนิด”
“ได้ เจียงหลิง นำคนไปที่เรือนตะวันตก แล้วบอกท่านพ่อเจ้าว่านำคนกึ่งผีนั่นไปด้วย”
“ขอรับ”
“มัดเอาไว้ทั้งสองคน”
จ้าวเชียนถามอย่างงุนงงประโยคหนึ่งว่า “มัดเพราะเหตุใดหรือ”
“หญิงสาวที่เก็บมา เลี้ยงดูมาสิบปี พี่ชายน้องสาวหรือ” เขาแค่นเสียงสบถเย็นชาทีหนึ่ง “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่สกปรกหรือไร”
“สกปรก?…นี่ จางทุ่ยหาน…”
จ้าวเชียนเดินตามจางตั๋วผ่านประตูสลักลายดอกบัวบานหนึ่ง ตะไคร่บนแผ่นหินเปียกชื้น ทำให้เขาที่ก้าวยาวและเร็วลื่นถลาไปหลายก้าวจึงยืนได้มั่น ก่อนจะเอ่ยไล่หลังไป
“นี่! เจ้าจะใช้ของที่โชกเลือดเหล่านั้นอีกแล้วหรือ”
“เจ้าไม่ได้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก”
“ข้าไม่ได้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ข้าแค่เพียง…นี่! ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจเขา ไล่เขาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ถึงเขาจะมีชื่อเสียง แต่…” เขาไม่ยินดีจะพูดออกมา แต่เพื่อรั้งคนใต้ร่มไม้นั้นไว้ จึงพูดอย่างไร้จิตสำนึกว่า “เขาเป็นแค่ชาวบ้านป่าเขาคนหนึ่ง ยังเป็นประเภทอะไรนะ…อ้อ พิการ เจ้ายืนกรานไม่มอบเสี่ยวอิ๋นจื่อให้เขา เขาจะทำอะไรได้”
คนข้างหน้าชะงักฝีเท้าทันที จ้าวเชียนเอาแต่พูดเองเออเอง พอไม่ระวังก็ชนเข้าที่หลังของอีกฝ่าย
“นี่! ไม่ได้ชนถูก…”
“เจ้าคิดว่าข้าชอบหญิงผู้นั้นหรือ”
จ้าวเชียนไม่เห็นใบหน้าจางตั๋ว ไม่รู้ถึงสีหน้าของเขา รู้สึกเพียงว่าคำพูดประโยคนี้เมื่อออกจากปากของจางตั๋ว แม้จะเย็นเยือกแต่ก็ฟังดูน่าขัน ดังนั้นจึงเดินไปที่ข้างกายเขาแล้วพูดอย่างไม่กลัวตายต่อไป