จางตั๋วหมดความอดทน พูดเสียงเย็นชาว่า “เจ้าอยากพบเฉินจ้าวไม่ใช่หรือ”
“คุณชาย…ข้าไปพบเขาในสภาพเช่นนี้…ไม่ได้”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าอยากได้เสื้อผ้าสักชุด เสื้อผ้าที่สมบูรณ์สักชุด”
‘เสื้อผ้าที่สมบูรณ์’…เดิมทีเขาไม่คิดจะให้นางมีชีวิตอยู่นาน จึงคร้านจะหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมแก่นาง
อยู่ด้วยกันมาหกวัน นางเป็นเหมือนหญิงคณิกาต่ำต้อยผู้หนึ่ง ไม่เคยสนใจสิ่งที่เขาให้นางปกปิดร่างกายตามอำเภอใจชิ้นนี้ วันนี้จู่ๆ นางกลับต้องการเสื้อผ้าที่ ‘สมบูรณ์’ เขาจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่นี่เป็นความคิดยิบย่อยไม่น่าสนใจเกินไป เขาถึงขั้นไม่รู้ว่าจะถามเหตุผลไปเพื่ออะไร โชคดีที่นางเอ่ยปากพูดเอง
“พี่ชายเป็นบุรุษผู้สูงศักดิ์ เป็นคนสะอาดเรียบร้อยที่สุด ข้า…ข้าจะทำให้ดวงตาของเขาสกปรกไม่ได้”
จ้าวเชียนฟังคำพูดนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “แม่นาง พี่ชายเจ้าเป็นคนตาบอด เขาจะมองเห็นอะไรได้”
“ไม่ใช่! พวกท่านดูถูกเขาเพราะเขาตาบอด แต่ข้ารู้ว่าพี่ชายมองเห็นได้ชัดเจนกว่าใคร!”
“นี่เจ้า…” จ้าวเชียนหมดคำจะพูด จึงมองไปทางจางตั๋ว
จางตั๋ววางแส้ลงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ สุนัขเสวี่ยหลงซาตัวนั้นก็เข้าใจความหมาย ถอยกลับไปที่มุมกำแพงอีกครั้ง
“เจียงชิ่น”
“ขอรับคุณชาย”
“ไปที่เรือนของผิงเซวียน หาเสื้อผ้ามาให้นางสักชุด”
“แต่ว่าคุณชาย เกรงว่าคุณหนูคงจะไม่ชอบ…”
จางตั๋วรู้สึกรำคาญ จึงส่งเสียงตัดบทคำพูดของบ่าวชรา “นางอยากได้กี่ชุดก็จัดให้นาง”
บ่าวชราไม่พูดอะไรมากอีก โค้งคำนับแล้วหมุนตัวเดินจากไป
สีอิ๋นโล่งอกในที่สุด นางคลายมือออก กอดเข่านั่งหายใจหอบก่อนจะเงยหน้าขึ้น ตัวสั่นมองจางตั๋วที่เดินเข้าใกล้นางทีละก้าว
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ…คุณชาย”
จางตั๋วไม่ได้ตอบรับการขอบคุณนี้ เขาเอียงศีรษะมองสำรวจนาง ทันใดนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเลื่อมใสความบริสุทธิ์สูงส่ง แต่กลับมีชาติกำเนิดต่ำต้อย”
คำพูดนี้ทำให้จ้าวเชียนที่ยืนอยู่นอกประตูเรือนตกใจ เขารู้สึกว่าคุ้นหูยิ่งนัก เหมือนเคยได้ยินจางตั๋วพูดประโยคคล้ายๆ กันนี้ที่ใดมาก่อน ทว่าเขายังไม่ทันได้ย้อนคิดก็ได้ยินคนพูดขึ้นอีก
“ต่อหน้าข้าปล่อยตัวเป็นหญิงคณิกา ต่ำต้อยไร้ยางอาย อยู่ต่อหน้าคนตาบอดกลับต้องสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร หา? ความคิดของเจ้านี้สมควรตาย!”
เสียงพูดดังกระแทกจนหูอื้อ ฟังดูแล้วเหมือนโกรธจริงๆ
จ้าวเชียนมองแผ่นหลังของจางตั๋วที่สั่นเทาเล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายโกรธอะไรกันแน่ ขณะเดียวกันความทรงจำสิบเอ็ดปีก่อนก็ทะลักกลับมาทันใด เขาตบหน้าผาก สุดท้ายก็นึกคำพูดประโยคที่ว่า ‘เลื่อมใสความบริสุทธิ์สูงส่ง แต่กลับมีชาติกำเนิดต่ำต้อย’ ประโยคนั้นขึ้นได้
นั่นเป็นคำพูดยามเมามายหลังจางตั๋วดื่มสุรา
สงครามยากลำบากที่ด่านจินซานในปีนั้น ทหารทั้งกองเหลือเพียงหนึ่งร้อยนาย
เสบียงอาหารในเมืองหมดลง กำลังเสริมมาไม่ถึง จ้าวเชียนเปิดสุราไหสุดท้าย นั่งพิงกำแพงเมืองร่วมดื่มกับจางตั๋ว ตอนนั้นพวกเขาสองคนอายุเพียงสิบสี่ปี พระจันทร์ลอยสูงลมฤดูใบไม้ร่วงพัดแรง นอกจากกลิ่นหอมของสุราแล้ว ในสายลมมีเพียงกลิ่นคาวเลือด
จางตั๋วยกชามสุราขึ้นแล้วถามเขาว่า ‘เจ้าเป็นบุตรชายของแม่ทัพ เหตุใดจึงมาเข้าร่วมการต่อสู้ที่อันตรายครั้งนี้ด้วย’
จ้าวเชียนยกมือขึ้นเหนือศีรษะ เคาะบนกระหม่อมแล้วพูดอย่างห้าวหาญว่า ‘ป่าเขาฤดูใบไม้ร่วงทางเหนือไร้ผู้คน วิญญาณผู้กล้าเดียวดาย ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่’
จางตั๋วหัวเราะ ยกชามสุราขึ้น ‘พูดได้ดี’
จ้าวเชียนเองก็หัวเราะร่วนแล้วเอ่ยว่า ‘เจ้าพูดไร้สาระกับข้าให้น้อยหน่อย งานนี้ข้าขโมยมาจากท่านพ่อข้า ข้าโง่เอง คิดว่าสงครามครั้งนี้จะสร้างผลงานใหญ่ได้ กลับไปท่านพ่อข้าก็จะไม่พร่ำบ่นเรื่องที่ ‘ตระกูลแม่ทัพไร้ผู้สืบทอด’ อะไรนั่นอีก ใครจะรู้ว่าต้องเอาชีวิตมาทิ้งท่ามกลางอากาศหนาวลมแรงที่นี่เสียแล้ว จะว่าไปข้ายังไม่ได้แต่งภรรยาเลย น่าเสียดายอยู่บ้างจริงๆ จุๆ…’ พูดจบก็แตะไหล่ของจางตั๋ว ‘ข้าเป็นคนโง่ทึ่ม ถูกคนขายแล้วยังล้มตัวนอนสบาย แล้วเจ้าเล่า เจ้ารู้แต่แรกว่าด่านจินซานเป็นหมากตาย เหอเจียนอ๋องที่อยู่ทางตะวันตกไม่มีทางเคลื่อนพลมาช่วย ราชสำนักก็จะทิ้งพวกเรา เหตุใดเจ้ายังมาที่นี่อีก’