บทที่หนึ่ง
“สะ…สหายหรือ” หญิงสาวที่อยู่ในครัวหยุดความเคลื่อนไหว ท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ใช่น่ะสิ อวี๋เอิน เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาดีกับข้าแค่ไหน เช้าเจ้าไปขายโจ๊ก ตกบ่ายขึ้นเขาไปเก็บผัก พวกเขาเห็นข้าอยู่คนเดียวเหงาๆ เลยมาคุยเป็นเพื่อน เมื่อคืนเสี่ยวชุ่ยยังเอาขนมเปี๊ยะที่มารดานางทำมาให้ จำได้หรือเปล่า” พอพูดถึงสหาย นัยน์ตาง่วงซึมของเหมียวตงหยาก็เป็นประกายทันที ลมหนาวพัดเข้ามาจากด้านนอก นางทำไหล่ห่อ กระชับผ้าคลุมกันลมบนร่างให้แน่นหนาขึ้น พลางก้าวเข้ามาหลบลมในครัว
“อย่างนั้นหรือ จะ…เจ้ามีสหายก็ดีแล้ว จะได้ไม่เหงา” หญิงสาวในครัวเอ่ยตะกุกตะกัก
“อวี๋เอิน นี่จะออกไปแล้วหรือ ฟ้ายังไม่สางเลยนะ”
“ออกไปตอนนี้ล่ะดี ช้ากว่านี้เดี๋ยวจะสาย”
“เช่นนั้น…” เหมียวตงหยาว่าพลางยกมือปิดปากหาว “ข้าอยากออกไปขายโจ๊กกับเจ้าด้วยได้หรือเปล่า”
“อย่าเลย เจ้าอยากนอนต่อไม่ใช่หรือ ไปนอนเถิด พอเจ้าตื่น ข้าก็กลับมาแล้ว” ทั้งที่รู้ดีว่าบทสนทนาเช่นนี้ดำเนินซ้ำๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หญิงสาวที่อยู่ในครัวก็ยังตอบแบบเดียวกันอย่างไม่เหนื่อยหน่าย
“ตะ…แต่ว่า…” นางง่วงจริงๆ นั่นล่ะ ง่วงเหลือเกิน แม้เมื่อครู่จะบังคับตัวเองให้ลุกเดินมาที่ห้องครัวเพราะเห็นเตียงนอนฝั่งเหมียวอวี๋เอินว่างเปล่า โดยที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่อีกฝ่ายจะต้องทำงานงกๆ อยู่คนเดียว ในขณะที่นางนอนหลับอุตุ อีกอย่างวันๆ นางก็ได้คุยกับเหมียวอวี๋เอินแค่ไม่กี่คำ นางเหงาออกจะตาย…
“ถ้าเจ้าไป หน้าตาอย่างนี้ เดี๋ยวก็มีคนมาวุ่นวาย” หญิงสาวเอาม้านั่งซ้อนกันแล้วยกขึ้นรถเป็นลำดับสุดท้าย ก่อนจะลองออกแรงเข็นอยู่หลายครั้งถึงจะชินกับน้ำหนัก และหันไปยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย “กลับไปนอนไป เดี๋ยวศิษย์พี่ใหญ่กลับมาจะหาเจ้าไม่เจอ”
หลังเหมียวตงหยาลังเลอยู่สักพักก็พยักหน้ายิ้มหวานให้ “อืม” รอยยิ้มบนดวงหน้าสะลึมสะลือดูงามจับตา แม้จะเห็นมาไม่รู้กี่ปีแล้ว หญิงสาวก็ยังตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะหันหลังเข็นรถออกจากบ้านไปช้าๆ
“ระวังตัวด้วยนะอวี๋เอิน” เหมียวตงหยาส่งเสียงตะโกนไล่หลังเบาๆ แม้แต่น้ำเสียงยังหวานเสนาะหู
หญิงสาวไม่ได้หันไปมอง นางเข็นรถหนักอึ้งออกจากบ้านหลังเล็กเก่าคร่ำคร่า มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ที่ทอดยาวไปยังตัวเมือง
ฟ้าเพิ่งจะสาง อากาศจึงเย็นจัด แผ่นหลังของนางเล็กบาง สวมเพียงเสื้อเนื้อหยาบสีน้ำเงินเข้ม ไม่ได้สวมเสื้อคลุมอีกชั้นเพราะเวลาเคี่ยวโจ๊กหากใส่เสื้อผ้าหนาๆ จะไม่สะดวก
ร้านรวงสองฝั่งถนนในเมืองยังปิดอยู่ แต่เริ่มมีคนทยอยออกมาให้เห็นแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนงานชั้นล่างหรือไม่ก็เจ้าของแผงเล็กๆ ที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ
“แม่นางเหมียว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น
นางไม่ยอมหยุดเท้า แค่หันไปผงกศีรษะน้อยๆ ให้เขาที่เดินห่างออกไปด้านหลังสองก้าว
บุรุษผู้นี้เป็นลูกค้าเก่าแก่ ฝนจะตกฟ้าจะร้องก็มาอุดหนุนนางไม่เคยขาด ในแต่ละวันเขาจะเดินกลับเข้าเมืองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แล้วแวะกินมื้อเช้าริมทาง หลายครั้งที่ขึ้นไปเก็บผักบนเขา ทั้งสองก็ได้พบกันโดยบังเอิญ เขาจะเพียงแค่อมยิ้มผงกศีรษะให้นางเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย นางเดาเอาว่าเขาคงขึ้นไปวัดที่ตั้งอยู่กลางเขา
รูปร่างหน้าตาเขาดูหยาบกร้าน ทว่าหล่อเหลา ขณะที่บุคลิกสุภาพนุ่มนวล แตกต่างจากรูปลักษณ์โดยสิ้นเชิง หนึ่งปีมานี้เขาถือลูกประคำแบบพุทธติดมือซ้าย นานๆ จะเห็นเขานับประคำบ้าง นางจึงลอบเดาต่อไปว่าเขาน่าจะเป็นอุบาสก