หลี่เยี่ยนเอ่ยถาม “ท่านอาหญิงหนาวหรือไม่”
จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “ข้าหนาวเหลือเกินขอรับ”
หลี่ชีฉือไม่ตอบคำ แต่ใช้เท้าเลื่อนกระถางไฟไปทางเขาอีกนิด
เด็กชายเห็นดังนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายสงสารตนเอง จึงรีบฉวยโอกาสทำตัวเป็นเด็กดีทันที “ท่านอาหญิง หลานผิดเองขอรับ วันนั้นไม่น่าก่อเหตุวิวาทกับคนอื่นในสำนักศึกษาเลย ท่านอย่าเมินหลานเลยนะขอรับ”
หลี่ชีฉือเอนหลังกึ่งนั่งกึ่งนอน “แบบนั้นเรียกว่าก่อเหตุได้อย่างไร”
“หลานได้แผลกลับมาก็ถือว่าเป็นเหตุใหญ่แล้ว” หลี่เยี่ยนตอบอย่างสำนึกผิด
“เจ้าเป็นฝ่ายถูกต่อยแท้ๆ จะนับว่าเจ้าก่อเหตุได้หรือ” หลี่ชีฉือรักษาหน้าหลานชายด้วยการแจกแจงข้อเท็จจริงเบาๆ เพราะเกรงบ่าวไพร่จะได้ยิน “สำนักศึกษาในจวนผู้ว่าการเมืองกวงโจวที่เจ้าไปเรียนมีเพื่อนร่วมสำนักทั้งสิ้นเจ็ดคน ในจำนวนนี้มีอยู่สี่คนที่รุมรังแกเจ้าโดยมียงอ๋องซื่อจื่อเป็นหัวโจก เจ้าไม่เคยปริปากอุทธรณ์ น่ากลัวว่าครานี้หากไม่เพราะคนพวกนั้นลงไม้ลงมือจนเจ้าได้แผล เจ้าก็คงจะปิดบังต่อไป”
หลี่เยี่ยนก้มหน้านิ่งเงียบ
คนเหล่านั้นมักบริภาษเขาลับหลังว่าเป็นดาวหายนะทำมารดาตาย ต่อมายังเป็นเหตุให้บิดาจากไป เป็นดาวหายนะแต่เกิดขนานแท้ พอเขาข่มใจอดทนยอมลงให้ ฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งได้ใจใหญ่ จากที่แต่ก่อนยังทำแอบๆ กลายเป็นกล้ารังแกเขาซึ่งหน้า
หลังเลิกเรียนวันนั้นอีกฝ่ายขวางทางเขาไว้แล้วพูดจาเสียดสีแดกดัน จนสุดท้ายพาดพิงไปถึงอาหญิง
หาว่าถึงอย่างไรท่านอาหญิงก็เป็นเซี่ยนจู่ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่กลับไร้ชายใดแลเหลียว ต้องให้ฮ่องเต้ออกหน้าจนต้องลดตัวแต่งไปกับแม่ทัพที่มีศักดิ์ต่ำกว่า นั่นเป็นเพราะดาวหายนะอย่างเขานำโชคร้ายมาให้เช่นกัน
พอเขาถลึงตาใส่คนพวกนั้นไปทีหนึ่งอย่างเหลืออด ก็ถูกผลักจนเซล้มไปชนมุมโต๊ะจนเหลี่ยมหน้าผากแตก ตอนลุกขึ้นมาเขายังหมายจะเอาคืนบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังยั้งใจไว้อยู่ดี
เสียดายก็แต่รอยแผลอยู่ในที่เตะตาจนไม่อาจปกปิด พอกลับถึงตำหนักจึงถูกเห็นเข้าจนได้
อันที่จริงตอนต้นไม้หักโค่นลงมาทับรถม้าเมื่อครู่ เขาคิดด้วยซ้ำว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นเย้ยหยันอาจเป็นจริง เขาคงเป็นดาวหายนะดังคำบริภาษ เป็นตัวต้นเหตุแห่งโชคร้ายทั้งหมดทั้งปวง
ทว่าก็ได้แต่คิดเท่านั้น หากท่านอาหญิงทราบว่าเขามีความคิดหดหู่มืดมนเช่นนี้ เป็นได้ถูกเอ็ดเอาแน่
เด็กชายงึมงำในคอโดยไม่เงยหน้า “ช่างเถิดขอรับท่านอาหญิง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว หลานเองก็ปลอดภัยดี”
“เจ้านี่ช่างยอมคนเสียจริง” หลี่ชีฉือกล่าว
“หลานทราบขอรับ” หลี่เยี่ยนก้มหน้าต่ำกว่าเดิม “เวลานี้ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว พวกเราไม่ยิ่งใหญ่เหมือนแต่ก่อน หลานจะต้องไม่ทำให้ท่านอาหญิงเดือดร้อน”
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะมองเขานิ่งงัน เพิ่งจะอายุแค่สิบเอ็ดขวบเท่านั้น แต่ถูกพี่ชายนางอบรมสั่งสอนเสียจนเป็นผู้ใหญ่เกินตัว บุคลิกไม่มีความเป็นเด็กแม้แต่นิดเดียว เพราะอย่างนี้เลยยิ่งทำให้นางปวดใจ
ยงอ๋องมีสายเลือดใกล้ชิดกับฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันมากกว่า ขนาดบุตรชายมาอาศัยร่ำเรียนวิชาในถิ่นพวกนางแท้ๆ ยังกล้าวางก้ามข่มเขื่องอย่างไม่เกรงกลัว
บุตรยงอ๋องยังพอว่า เพราะเป็นทายาทเชื้อพระวงศ์ แต่พวกลูกสมุนนี่สิ ถือดีอย่างไรถึงได้กล้าข่มเหงรังแกซื่อจื่อของชินอ๋องผู้หนึ่งถึงเพียงนี้
แต่เพราะเขายังเป็นซื่อจื่ออยู่นี่ล่ะ