เสร็จงานได้ไม่ทันไร หลี่เยี่ยนก็กลับมา วันนี้เพียงแค่คารวะอาจารย์เท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มร่ำเรียนจริงจัง
ซินลู่เดินตามหลังเขาเข้ามาด้วย ยิ้มกว้างรายงานนายหญิง “ท่านอาจารย์ชมว่าซื่อจื่อหน่วยก้านดี ไม่เหมือนลูกหลานชนชั้นสูงเหล่านั้น เป็นเด็กมีแววที่ควรค่าแก่การสั่งสอนขัดเกลาเจ้าค่ะ”
ดวงหน้าเล็กๆ ของหลี่เยี่ยนแดงก่ำเพราะเขินอายที่ถูกชม ขณะเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ ผู้เป็นอา
หลี่ชีฉือยกมือขึ้นลูบหัวหลานชาย “เช่นนั้นก็มิเสียแรงที่อาพาเจ้ามาอยู่ที่นี่ ตั้งใจศึกษาร่ำเรียนวิชาให้ดี ภายภาคหน้าคนที่เคยดูถูกเจ้าจะได้สู้เจ้าไม่ได้สักคน”
ยงอ๋องซื่อจื่อกับสมัครพรรคพวกลอยเข้ามาในความคิดทันที หลี่เยี่ยนกะพริบตาปริบๆ มองนาง “ที่แท้ท่านอาก็ตั้งใจไว้เช่นนี้เองหรือขอรับ”
“แน่นอนสิ อย่าลืมเสียล่ะว่าเจ้ายังต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์กวงอ๋อง”
บัดนี้หลี่เยี่ยนตระหนักแล้วว่าผู้เป็นอาลำบากลำบนทุ่มเทให้ตนเพียงไร พอนึกถึงบิดาผู้จากโลกนี้ไปทั้งที่ยังหนุ่มแน่น เด็กชายก็แสบร้อนในโพรงจมูก ผละจากอ้อมกอดนางยืดตัวยืนตรง “หลานน้อมรับโอวาท จะกลับเรือนเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“กลับไปด้วยเหตุใด”
“ทบทวนตำรา”
หลี่ชีฉือหัวเราะขัน “อะไรของเจ้า บทจะทำก็ทำปุบปับเชียวนะ”
หลี่เยี่ยนเขินอายหนักกว่าเดิม ก่อนจะหมุนตัววิ่งเหยาะๆ ออกไป
รอยยิ้มบนใบหน้างามของหลี่ชีฉือเหือดหายไปทันที เมื่อนึกถึงพี่ชาย ความทรงจำเก่าๆ ก็โถมถั่งเข้ามาในความคิด ถึงอย่างไรนางก็อดจะปวดใจไม่ได้
ลาจากแดนละมุนอย่างกวงโจวมาอยู่ทางเหนือที่มีแต่ลมหนาวพัดกระโชกเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหากพี่ชายที่อยู่ในปรโลกรู้เข้าจะมองว่านางทำถูกหรือไม่
ซินลู่เห็นผู้เป็นนายหน้าหมอง ใต้ตาดำคล้ำ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลายวันที่ผ่านมาอีกฝ่ายวุ่นวายกับงานต่างๆ ในจวนจนพักผ่อนไม่พอ ดังนั้นจึงเดินไปแหวกม่านที่เพิ่งแขวนไว้หน้าตั่งพลางว่า “นายหญิงนอนพักสักงีบเถิดเจ้าค่ะ ตั้งแต่ออกเดินทางจนเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ ท่านยังไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มเลย”
หลี่ชีฉือพยักหน้า แต่ตอนลุกเดินไปที่ตั่งยังไม่วายกวักมือเรียกชิวซวง “หยิบบัญชีเล่มที่เพิ่งส่งมาถึงเมื่อครู่มาให้ทีซิ หากนอนไม่หลับข้าจะได้เปิดดู”
ชิวซวงเปิดกล่องไม้หาบัญชีพลางสัพยอก “นายหญิงต้องดูว่าตนเองหาเงินมาใส่บัญชีเพิ่มได้อีกเท่าไรถึงจะมีความสุข”
นางเลิกคิ้ว “ถูกเผงเลย”
สาวใช้คนสนิททั้งสองหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เสียงหัวเราะของพวกนางทำให้หลี่ชีฉือพลอยเบิกบานตามไปด้วย นางไม่ใช่คนที่จะจมปลักกับความเศร้าเสียใจอยู่แล้ว
ข้ารับใช้พากันออกไป ถ่านไฟที่จุดไว้เผาไหม้ลุกโชน แผ่ไอร้อนให้อุ่นสบายไปทั้งห้อง
หลี่ชีฉือนอนอ่านบัญชีบนตั่งได้ค่อนเล่มก็เริ่มง่วง จึงพลิกตัวนอนตะแคง เอาสมุดบัญชีซุกไว้ใต้หมอนแล้วหลับตาลง
ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในช่วงใกล้เคลิ้มหลับ…จนป่านนี้ชายผู้นั้นก็ยังไม่กลับจวน
จากนั้นนางก็จมสู่ห้วงนิทรา
ใบหูแว่วเสียงกริ๊กแกร๊กเบาๆ คล้ายเสียงปลดตะขอโลหะ ไม่รู้ว่าดังอยู่ในความฝันหรือความเป็นจริง
ตามมาด้วยเสียงหนักทึบเหมือนอะไรบางอย่างล้มลง
หลี่ชีฉือเผยอเปลือกตาขึ้น คิดกับตนเองอย่างงัวเงียว่าถ้าไม่ซินลู่ก็คงชิวซวง ไม่รู้ว่ามือเท้าหนักกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร
ทันใดนั้นนางก็เบิกตาโพลง ด้วยนึกได้ว่าข้ารับใช้รอบตัวไม่มีทางแสดงกิริยาเช่นนี้แม้แต่คนเดียว
นางเอื้อมมือไปแหวกม่าน ค่อยๆ หย่อนเท้าลงบนพื้นอย่างแช่มช้า พื้นห้องเพิ่งปูพรมขนสัตว์จากซีอวี้ใหม่ๆ แม้เดินเปลือยเท้าก็ไม่หนาวเย็น
นางลุกลงจากตั่งมาเยื้องย่างเบากริบ เดินไปได้สามสี่ก้าวก็เห็นคราบน้ำอยู่บนพื้น
เนตรงามไล่มองตามคราบน้ำที่เปียกเป็นหย่อมๆ จนถึงเข็มขัดเส้นเท่านิ้วมือที่พาดอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยุดลงที่เตียงนอน
พื้นหน้าเตียงก็เปียกน้ำเป็นแอ่งเช่นกัน
หลี่ชีฉือเดินลงปลายเท้าเข้าไปใกล้ แล้วเห็นร่างที่นอนอยู่บนเตียงเป็นอันดับแรก รองเท้าหุ้มแข้งแบบชาวหู ยังไม่ถูกถอดออก หิมะที่เกาะตามรองเท้าละลายเป็นน้ำ ไหลหยดลงบนพื้นห้อง