หลายเดือนก่อนหลิวเซี่ยงได้ยินข่าวลือที่ไม่รู้จริงเท็จอย่างไรว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเข้าวังหลวงไปเยี่ยมไท่เฟย สูงวัยของฮ่องเต้เซิ่งอู่ ไท่เฟยสงสารที่จวบจนบัดนี้เขายังไม่มีคนรู้ใจไว้คอยปรนนิบัติดูแล จึงคะยั้นคะยอให้เขาหาชายา อ๋องผู้สำเร็จราชการยิ้มรับแล้วบอกว่าตนชื่นชมบุตรสาวเจียงจู่วั่งมานาน หากได้แต่งนางมาเป็นชายาก็ไม่เสียชาติเกิด
ภรรยาของเจียงจู่วั่งด่วนจากโลกนี้ไปนานแล้ว มีบุตรสาวเพียงคนเดียวซึ่งก็คือเจียงหานหยวนที่ผู้เป็นบิดาเลี้ยงดูด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็ก
ยังมีอีกหนึ่ง เดือนก่อนพระพันปีเสียนอ๋องซู่อวิ้นเสนาบดีสำนักกิจการราชวงศ์ออกเดินทางจากเมืองหลวงขึ้นเหนือ ไม่มีผู้ใดรู้จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ แต่ยิ่งลือก็ยิ่งมีมูลว่าพระพันปีไปสู่ขอชายาให้อ๋องผู้สำเร็จราชการ
วันนี้เจียงหานหยวนปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ดูจากการแต่งกายก็รู้ว่าหมายจะเข้าเมืองหลวงเงียบๆ
ชะรอยข่าวลือจะเป็นจริง
หลิวเซี่ยงพรูลมหายใจอย่างโล่งอก
อย่างนี้นี่เอง…แม้ยามอยู่ในสมรภูมินายหญิงน้อยจะแกล้วกล้าไม่แพ้ชายชาติอาชาไนย แต่ถึงจะเก่งกาจสามารถอย่างไรก็ยังเป็นสตรี หากอยากเห็นว่าว่าที่สามีรูปร่างหน้าตาอย่างไรก็อยู่ในปกติวิสัย
นับแต่ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ ฉีอ๋องก็ตรากตรำจัดการงานราชสำนัก ทำนุบำรุงพุทธศาสนา อยู่สะสางงานราชกิจจนดึกดื่นหรือกระทั่งรุ่งสางบ่อยครั้ง จึงมักจะนอนค้างคืนในวังหลวงเพื่อความสะดวก คนนอกอยากเข้าวังไปยลโฉมจึงเป็นไปไม่ได้ วันนี้นับว่าเป็นโอกาสเหมาะที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ นั่นล่ะ
หลิวเซี่ยงลอบพิจารณาบุตรสาวของเจ้านายเก่าอีกครั้ง เห็นนางมีท่าทางเยือกเย็น วางตัวสบายๆ เป็นปกติ ก็คิดว่านางย่อมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
ข้อนี้เขาเชื่อมั่นอย่างไม่สงสัยแม้แต่นิดเดียว
แม้พิจารณาจากด้านอื่น ไม่ต้องเห็นแก่สายสัมพันธ์เก่าก่อนกับสกุลเจียง วันข้างหน้าหากนางได้เป็นชายาจริงย่อมต้องอยู่ในเมืองหลวง ถึงอย่างไรก็ต้องได้เจอกันอยู่ดี แล้วเขาจะไม่ตอบรับคำขอเล็กน้อยเพียงเท่านี้ได้อย่างไร
หลิวเซี่ยงเลิกลังเล ตอบกลับไปเบาๆ ว่า “ก็ได้ วันนี้ข้าจะยอมให้นายหญิงน้อยเป็นกรณีพิเศษสักครั้ง เมื่อครู่ชมภาพวาดบนกำแพงอุโบสถไปแล้ว เวลานี้อ๋องผู้สำเร็จราชการมาพร้อมกับไทเฮาและฝ่าบาทไปฟังพระธรรมาจารย์เทศนา ท่านแต่งชุดทหารในอาณัติข้าเข้าไปข้างใน ใช้รหัสลับผ่านทางจะเข้าออกได้โดยสะดวก แต่นายหญิงน้อยโปรดจำไว้ให้มั่น อย่าได้ทำให้ผู้ใดระแคะระคายเป็นอันขาด…ไม่ต้องไปดูอ๋องผู้สำเร็จราชการใกล้ๆ หรอก นายหญิงน้อยเพียงมองจากไกลๆ ก็ได้ประจักษ์รูปโฉมแล้ว”
ประโยคสุดท้ายเขาขยับเข้าไปใกล้นางอีกนิดแล้วพูดกระเซ้านางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าสนิทสนมประสาผู้ใหญ่
“ขอบคุณอาหลิวมาก ข้าทราบว่าควรต้องทำเช่นไร”
เจียงหานหยวนไม่สะเทิ้นอายสักนิด เพียงค้อมกายน้อยๆ พลางยิ้มขอบคุณ
ด้านนอกโถงแสดงธรรมร่มครึ้มด้วยเงาต้นอูจิ้ว สงัดเงียบไร้เสียงวิหค กระถางธูปม่วงทองสามขาใบหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง มีขนาดโอฬารสูงใหญ่ท่วมหัว หงายปากหาท้องฟ้า ข้างในปักธูปส่งควันขาวลอยคดเคี้ยวอย่างต่อเนื่อง
หลันไทเฮานั่งอยู่บนแท่นไม้ทางทิศเหนือของหอ ตั้งสมาธิสดับฟังเสียงกังวานของพระธรรมาจารย์ที่นั่งเหนือขึ้นไปอย่างตั้งใจ นางเป็นบุตรสาวของสมุหนายกหลัน อายุราวสามสิบปี ทว่าดูเหมือนเพิ่งจะยี่สิบห้ายี่สิบหกปีเท่านั้น เรือนผมดำขลับ ดวงหน้างามแฉล้ม ท่วงท่าสุขุมทรงสง่า กลิ่นหอมกรุ่นกำจายอยู่รอบตัวเพราะนางกำนัลสองคนคอยใช้พัดหยกแซมทองโบกลมให้ไม่ขาดระยะ มีฮ่องเต้น้อยวัยสิบสามพรรษานั่งเคียงข้าง วันนี้มีสตรีสูงศักดิ์จากทั้งในและนอกวังหลวงตามมาด้วยเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่หนานคังต้าจ่างกงจู่ลงมา เรียงเป็นแถวยาวตามบรรดาศักดิ์อยู่ทางฝั่งตะวันตกของหอใหญ่ แสงแดดลอดเข้ามาทางประตู ส่องกระทบเครื่องประดับตามเรือนผมและอาภรณ์สตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นเป็นประกายวาววับ ก่อเกิดรัศมีเลือนๆ อันงามตา
ที่ฝั่งตรงข้าม ณ ฟากตะวันออกของหอแสดงธรรมคือเชื้อพระวงศ์ชายและเหล่าขุนนางที่ตามมาในวันนี้ แน่นอนว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการนั่งเก้าอี้พิเศษเป็นผู้นำอยู่ตรงกลาง ที่ข้างกันยังมีเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง เป็นของบุรุษร่างสูงใหญ่บึกบึนผู้ห้อยห่วงหยกทองไว้ตรงสายคาดเอว
ชายผู้นี้คือที่ปรึกษาราชการคนปัจจุบัน สมุหกลาโหมเกาอ๋องซู่ฮุย