บทที่ 39
ซู่เซิ่นฮุยแบ่งสรรงานให้ผู้ติดตามทั้งหมดในครานี้อีกครั้ง ให้หลิวเซี่ยงนำผู้ใต้บังคับบัญชาค้นหาชื่อซูต่อ เฉินหลุนสั่งให้คนไปสร้างแนวกันไฟตามพื้นที่ใต้ลมที่ไฟจากภูเขากำลังลามไปถึง กันไม่ให้เพลิงไหม้ขยายวงกว้างเกินไป ส่วนตัวเขากับอีกสิบกว่าคนที่เหลือหาพื้นที่เหนือลมที่เหมาะแก่การค้างแรมแล้วตั้งกระโจมกันที่นั่น
หลังจากให้หลิวเซี่ยงไปรับเจียงหานหยวนออกจากสวนป่าต้องห้าม ปรากฏว่าผ่านไปหนึ่งคืนแล้วยังไม่พบนาง ลางสังหรณ์ในใจซู่เซิ่นฮุยก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมิอาจนิ่งเฉย จึงนำกำลังคนตามมาสมทบด้วยตนเอง แม้จะออกจากเมืองหลวงอย่างฉุกละหุก แต่เขาสังหรณ์ใจว่าออกมาครานี้คงไม่อาจกลับไปโดยเร็ว จึงสั่งให้เตรียมของจำเป็น เช่น เครื่องมือจุดไฟ เสบียงกรัง หยูกยา และกระโจมมาด้วย
พวกเขาเลือกพักแรมบริเวณแหล่งน้ำไหลที่มีน้ำใสสะอาด ฟ้ามืดสนิทแล้ว ผู้ติดตามตั้งกระโจมสำหรับค้างแรมในคืนนี้เสร็จอย่างว่องไว เขาอุ้มเจียงหานหยวนเข้าไป วางนางลง ก่อนจะเดินออกไป เพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมอานม้าของตนเองรวมทั้งถุงห้อยข้าง เขาหยิบผ้าแพรเนื้อหนาสีแดงสดปักดิ้นทองจากในถุงมาคลี่ปูลงบนกองฟางแห้งที่ใช้ต่างฟูกนอน จากนั้นก็วางอานม้าไว้ด้านบน แล้วหันมาอุ้มนางวางลงบนผ้าแพรอย่างเบามือ
หลังจัดที่ทางให้หญิงสาวเรียบร้อยเขาก็หยิบห่อยาออกมาแกะ ไขตะเกียงให้สูงขึ้นพลางเหลือบมองอีกฝ่าย ภายใต้แสงตะเกียงนั้นหญิงสาวที่อยู่บนผ้าแพรยังคงนั่งหลังตรงแหน็วราวกับเป็นความเคยชิน เขาเห็นแล้วอดมุ่นหัวคิ้วไม่ได้ “ข้าเอาอานม้ามาวางให้พิง เจ้าก็พิงเสียสิ!”
เจียงหานหยวนหลุบตา แล้วค่อยๆ ผ่อนร่างเอนหลังไปพิงอานม้าอย่างหมิ่นๆ
คนข้างนอกยกน้ำร้อนที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามาให้ ครั้นเห็นเขาจุ่มผ้าชุบน้ำ เจียงหานหยวนก็รู้ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามตั้งใจจะเช็ดทำความสะอาดผิวอย่างง่ายๆ ให้ตนเองเพื่อตรวจดูบาดแผลและใส่ยาได้สะดวก จึงยื่นมือออกไป “ข้าทำเองดีกว่า…” พอพูดออกมาถึงได้รู้ว่าเสียงตนเองแหบแห้งเพียงใด ฟังแล้วไม่ไพเราะเอาเสียเลย
ซู่เซิ่นฮุยตอบเรียบๆ “เจ้านั่งพิงไปสบายๆ ก็พอ” พูดจบก็ประคองขาซ้ายนางให้วางราบ
แม่ทัพหญิงลดมือลงช้าๆ
เท่าที่คะเนจากสายตา ทั้งตัวนางมีรอยแผลใหญ่น้อยตามผิวเนื้อไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง ทั้งหน้าอกและหลังแดงเถือกไปด้วยโลหิต เลือดที่ไหลออกจากบาดแผลแห้งกรังติดเนื้อผ้า หนักสุดคือแผลบนขาซ้ายที่แน่นอนว่าต้องจัดการเป็นอันดับแรก
ชายเสื้อที่นางฉีกออกมาพันแผลห้ามเลือดเองแนบติดปากแผลสนิทแน่นเป็นเนื้อเดียว เขาไม่กล้าดึงออกด้วยกำลัง ได้แต่ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นค่อยๆ ลูบให้รอยแห้งกรังอ่อนตัวลง
แม้จะทำอย่างเบามือที่สุดแล้ว แต่ระหว่างลอกผ้าออกก็มีช่วงที่แผลถูกกระเทือนจนเลือดไหลซึมออกมาใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ทนไม่ไหวก็บอกนะ ข้าจะดึงให้ช้ากว่านี้”
ตลอดเวลานางไม่ส่งเสียงสักนิด กลับเป็นเขาเองเสียอีก เพิ่งจะลอกผ้าออกมาได้แค่ครึ่งเดียวก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมบนหน้าผาก อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงบอกนาง
“ท่านอ๋องเร่งมือให้เร็วขึ้นอีกก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าทนไหวจริงๆ” ในที่สุดนางก็เอ่ยอย่างนั้นด้วยเสียงแผ่วเบา
ไหนเลยเขาจะกล้าทำตามที่อีกฝ่ายบอก ยังคงค่อยๆ ลอกผ้าที่เหลือทีละนิดจนหลุดออกมาทั้งหมด เขาพรูลมหายใจเล็กน้อย แล้วรีบตรวจดูรอยแผลบนขาด้านใน พอเห็นว่าแผลยาวเกือบหนึ่งฉื่อ ลึกราวหนึ่งชุ่นก็รีบจัดการโดยไม่รอช้า เริ่มจากทำความสะอาดแผล จากนั้นก็หยิบสุราแรงมาถือไว้ จังหวะที่กำลังจะราดสุราลงไปก็พลันชะงัก พับผ้าเปียกเมื่อครู่เป็นทบหนา แล้วบอกให้นางอ้าปาก
เจียงหานหยวนเข้าใจจุดประสงค์ จึงอ้าปากเงียบๆ ให้อีกฝ่ายยัดผ้าเข้ามา จากนั้นเขาถึงค่อยราดสุราลงบนแผล
ความรู้สึกร้อนลวกเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นปราด นางกัดผ้าไว้แน่น เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมาตามหน้าผาก กระนั้นก็ยังไม่แม้แต่จะร้องครางในคอ
เขาเหลือบตามองหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วใส่ยาลงบนแผลให้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้ผ้าสะอาดในห่อยาพันแผลให้ ถึงเป็นอันเสร็จสิ้น