สุดท้ายทำให้เขาไม่อยากนึกถึงยิ่งกว่าคืนแต่งงานเสียด้วยซ้ำ พอนึกถึงก็ทั้งเสียใจทั้งคับแค้นปานไส้จะขาด
เขาเบนสายตาไปมองห่อยาที่วางอยู่ข้างๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางบอกด้วยน้ำเสียงปกติ “เดี๋ยวอีกครู่หนึ่งข้าจะมาใส่ยาบนหลังให้ ขอออกไปดูก่อนว่าพวกนั้นเตรียมอาหารกันคืบหน้าอย่างไรแล้วบ้าง เชื่อว่าเจ้าคงหิวแล้ว” พูดจบก็ลุกเดินออกไปแล้วยืนเงียบๆ ใต้ความมืดของรัตติกาลสักพัก คาดว่านางน่าจะใส่ยาบนแผลที่หน้าอกเรียบร้อยแล้วถึงค่อยกลับเข้าไปใหม่
ไม่ผิดจากที่คิด พอเข้าไปก็เห็นนางเปลี่ยนมานอนคว่ำบนผ้าแพรเองโดยไม่ต้องบอก มีอานม้ารองอยู่ใต้ร่าง เรือนผมยาวสยายถูกรวบปัดไปไว้ข้างไหล่ เผยแผ่นหลังเปล่าเปลือยรอเขาเงียบๆ
ชายหนุ่มเดินเข้าไปคุกเข่าลงข้างๆ เช็ดทำความสะอาดรอยแผลบนหลังให้นาง คงเพราะตอนนี้ไม่ต้องประจันหน้ากันตรงๆ ความกล้าของเขาจึงกลับคืนมา ระหว่างที่ใส่ยาให้ก็ไล่สายตามองแผ่นหลังไปด้วย
แม้ก่อนหน้าจะเคยผ่านประสบการณ์ลักษณะนี้ด้วยกันมาแล้ว แต่บอกตามตรงเขายังไม่เคยมีโอกาสพิจารณาเรือนร่างนางเสียที เพิ่งได้เห็นโดยละเอียดก็ตอนนี้
เอวนางเล็กคอด ทว่าต่างจากท่อนเอวอ่อนบางเหมือนกิ่งไม้ลู่ลมของสตรีทั่วไปโดยสิ้นเชิง น่าจะเพราะฝึกยุทธ์อยู่เป็นนิตย์ เอวของนางจึงคอดเว้ากลมกลึง ผิวเนื้อเต่งตึงหนั่นแน่น แผ่นหลังกระชับงดงามราวกับมีร่องน้ำไหลผ่านได้ ตรงกลางสันหลังมีร่องลึกตั้งแต่ใต้ปีกสะบักลงไปเป็นทาง แล้วหายไปใต้เสื้อที่ร่นลงมากองอยู่ตรงบั้นเอว ภายใต้แสงตะเกียงที่ส่องเข้ามาจากด้านข้าง ร่องกลางหลังเป็นเงาโค้งนิดๆ ตามท่านอนหมอบของเจ้าตัว ดูเย้ายวนอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นแล้วอยากสัมผัสไปตามความยาวของร่อง…
“ท่านอ๋องเร็วหน่อยก็ได้ ข้าไม่เจ็บจริงๆ”
คงเพราะสัมผัสได้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาช้าลง อยู่ๆ หญิงสาวที่เมื่อครู่เอาแต่นอนนิ่งเหมือนหลับไปแล้วถึงได้ส่งเสียงเตือน
ซู่เซิ่นฮุยสะท้านวาบ ได้สติกลับมาทันที อดละอายแก่ใจเงียบๆ ไม่ได้
“อืม” เขาตอบรับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วตั้งสมาธิเร่งมือ
ตอนที่ใส่ยาจวนเสร็จ ดวงตาคมหยุดอยู่บนรอยแผลเป็นยาวบนแผ่นหลังนางอีกหน พยายามข่มใจหลายครั้งก็ยังทนไม่ไหว เลยแสร้งถามเปรยๆ “เจ้าได้รอยแผลเป็นบนหลังมาอย่างไร”
ถามจบก็มองอีกฝ่าย เห็นนางนอนนิ่งไม่ขยับ สักพักถึงได้ยินเสียงตอบดังออกมาจากเจ้าของเรือนผมดกดำ “…ตอนนั้นออกรบแล้วไม่ทันระวัง…ไม่มีค่าให้พูดถึงหรอก”
นางตอบกว้างๆ เห็นชัดว่าไม่อยากพูดถึง เขาอดนึกเสียใจขึ้นมาอีกไม่ได้ที่ตนเองปากมาก เมื่อครู่ระงับความสงสัยไว้ไม่อยู่ ทว่าใบหน้ากลับคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร! ข้าก็ถามไปอย่างนั้นเอง!” เขายุติประเด็นลงแค่นั้นแล้วใส่ยาแผลบนหลังให้จนครบ ก่อนจะหยิบเสื้อสะอาดมาคลุมร่างหญิงสาว จับไหล่ประคองนางให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ออกจากกระโจมอีกครั้งเพื่อไปเอาอาหาร “กินเสร็จก็นอนเสีย เดี๋ยวข้าจะออกไปแล้ว ไม่อยู่กวนเจ้าหรอก”
เจียงหานหยวนมองฝ่ายตรงข้ามม้วนห่อยาแล้วก้าวเท้าเดินออกไป นางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเรียกไล่หลัง “ท่านอ๋อง!”
ซู่เซิ่นฮุยชะงักเท้าแล้วหันมามอง
นางเอ่ย “รอยแผลที่ท่านถามเมื่อครู่ได้มาจากศึกที่ราบชิงมู่เมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นหยางหู่เพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพได้ไม่นาน ดีแต่บุกทะลวงไปข้างหน้าอย่างเดียวจนตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูตามลำพัง ข้าไปช่วยเขาฝ่าวงล้อมออกมา ไม่ทันระวังหลังเลยโดนดาบฟันเข้าเต็มๆ แต่แผลหายนานแล้ว ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็นห่วง”
เขายืนมองนางนิ่งๆ อยู่กับที่สักพัก “หยางหู่แห่งสกุลหยางที่บรรพบุรุษเคยเป็นอันอู่จวิ้นกงน่ะหรือ”
เขายังจำที่จางเป่าเล่าให้ฟังได้ว่าตอนที่นางออกจากตำหนักหลังคืนแต่งงาน บ้านแรกที่ไปเยี่ยมก็คือบ้านสกุลหยางนี่ล่ะ
เจียงหานหยวนพยักหน้า “ถูกต้อง ชีหลางโดดเด่นเรื่องความกล้าหาญ จิตใจดี มุ่งมั่นในปณิธาน เวลานี้กลายเป็นนายกองฝีมือฉกาจในกองทัพของข้าไปแล้ว”
นางเรียกหยางหู่ว่า ‘ชีหลาง’ อย่างคล่องปาก แสดงว่าปกติก็เรียกขานกันเช่นนี้ ซู่เซิ่นฮุยฟังแล้วรู้สึกบาดหูชอบกล
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน สิงหาคม 2567)