บทที่ 5
ซู่เซิ่นฮุยฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาจบก็ยืนมองศพที่ถูกคลุมผ้าไว้นั้นถูกแบกออกไปทางซุ้มประตูด้านหลัง ก่อนจะเดินออกจากตำหนักข้างอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเรียบเฉยดุจเดิม ทว่าฝีเท้าหนักหน่วงกว่าปกติเล็กน้อย องครักษ์สองคนเดินตามหลังเงียบๆ ทิ้งระยะไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป พอเดินมาถึงหน้าหออรหันต์อันเป็นที่แสดงธรรมเมื่อครู่ ฝีเท้าก็ค่อยๆ ผ่อนความเร็วจนหยุดลงในที่สุด
ร่างในชุดสีแดงเข้มยืนอยู่ตรงกระถางธูปยักษ์หน้าหอ มีนางกำนัลติดตามรับใช้สองคน สายตานางทอดตรงไปข้างหน้าคล้ายกำลังเหม่อลอย ป่าสนร่มครึ้มไปทั้งบริเวณ แผ่กิ่งก้านบังแสงอาทิตย์ ขับเน้นให้ร่างนั้นดูแบบบางยิ่งกว่าความเป็นจริง
ซู่เซิ่นฮุยก้าวเท้าอีกครั้งเพื่อเดินไปหานาง ฝ่ายตรงข้ามเห็นเขาแล้วเช่นกัน ชายกระโปรงหลัวฉวิน* พลิ้วเมื่อหมุนตัวหันมา
“วันเหนียง เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ตามเสด็จไทเฮากลับไปเล่า” เขาถาม
เวินวันเป็นบุตรสาวของราชครูเวินเจี๋ยผู้ล่วงลับ รู้จักกับซู่เซิ่นฮุยตั้งแต่เล็กๆ ลือกันว่าความสัมพันธ์แนบแน่นมั่นคงอย่างยิ่ง หลายปีก่อนใครต่อใครล้วนแต่คิดว่าบุตรสาวสกุลเวินจะได้เป็นชายาฉีอ๋อง ต่อมาไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด จนป่านนี้ถึงยังเงียบกริบ ประกอบกับเวินเจี๋ยจากโลกนี้ไปแล้ว สกุลเวินมีบุตรชายเพียงคนเดียว ดำรงตำแหน่งไม่ใหญ่ไม่เล็กเป็นเสนาบดี การคาดเดานี้จึงลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีใครพูดถึงอีก
เวินวันรวบชายแขนเสื้อพลางตอบยิ้มๆ “ไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ให้หม่อมฉันอยู่ค้นคัมภีร์ธรรมสองสามเล่มกลับวังหลวงไปถวายเพคะ”
นางถือกำเนิดในตระกูลขุนนางใหญ่ รูปโฉมโนมพรรณงามล้ำ ซ้ำยังมีสติปัญญาเป็นเลิศ เป็นคนโปรดปรานของหลันไทเฮาที่มักจะถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงไปปรนนิบัติรับใช้ยามอ่านหนังสืออยู่เสมอ
เขาพยักหน้าน้อยๆ “หาครบหรือยัง”
“ยังขาดอีกเล่มเพคะ เมื่อครู่ภิกษุน้อยอู๋ฉิงไปช่วยหาในหอคัมภีร์ให้แล้ว แต่ยังไม่กลับมา หม่อมฉันกำลังรอเขาอยู่”
ซู่เซิ่นฮุยพยักหน้าอีกครั้ง แล้วทอดตามองนาง
“จำได้ว่าสมัยก่อนเจ้าร่างกายอ่อนแอ อากาศเย็นขึ้นทีไรปอดจะแห้งจนมีอาการไอเสมอ สองปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรมากแล้วเพคะ หลายวันก่อนพี่สะใภ้เชิญหมอมาที่จวน เลยให้ตรวจอาการหม่อมฉันด้วยเลยทีเดียว ได้กินยาไปสองเทียบก็ดีขึ้นมาก ขอบพระทัยอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ทรงห่วงใย” นางรวบชายแขนเสื้อพลางเอ่ยขอบคุณ
ซู่เซิ่นฮุยบอกนางว่าไม่ต้องคำนับ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว สำนักแพทย์หลวงมียาที่ปรุงขึ้นมาใหม่ ชื่อว่าน้ำเชื่อมสาลี่ฤดูสารท ประเดี๋ยวกลับไปข้าจะให้จางเป่านำไปให้เจ้ากับพี่สะใภ้ หมั่นจิบบ่อยๆ ช่วยทำให้ปอดชุ่มชื้นขึ้นได้”
“ขอบพระทัยอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพี่สะใภ้ด้วยเพคะ” นางหลุบตากล่าว
ซู่เซิ่นฮุยมองนางคล้ายลังเลเล็กน้อย หลังจากนิ่งไปชั่วอึดใจก็เอ่ยขึ้นว่า “วันเหนียง ตามข้าไปหอคัมภีร์หน่อย”
เวินวันชะงัก เหลือบตามองเขาเร็วๆ ปราดหนึ่ง ก่อนจะรับคำเสียงแผ่ว
อ๋องผู้สำเร็จราชการสั่งองครักษ์สองคนไม่ให้ติดตาม ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางหอคัมภีร์ เวินวันเดินตามหลังเงียบๆ พอเดินมาจนใกล้หอคัมภีร์ ภิกษุน้อยที่เมื่อครู่เข้าไปหาของก็หอบม้วนคัมภีร์เดินออกมาพอดี พอเห็นซู่เซิ่นฮุยก็ค้อมกายหลีกทางให้
ซู่เซิ่นฮุยบอกภิกษุน้อยให้นำคัมภีร์ไปให้นางกำนัล จากนั้นก็เดินนำเวินวันเข้าไปในหอคัมภีร์
“นั่งสิ”
เขาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งใบหนึ่ง แล้วชี้ไปยังเบาะอีกใบที่อยู่ตรงข้ามกัน
เวินวันค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งคุกเข่าปลายเท้าราบตัวตรงสำรวม
ซู่เซิ่นฮุยช้อนตาน้อยๆ มองอีกฝ่าย
พระอาทิตย์ฤดูใบไม้ร่วงส่องเป็นมุมเฉียงเข้ามาทางหน้าต่างทิศใต้ที่เปิดแง้มอยู่ข้างกายนาง แสงอ่อนรำไรสาดส่องบนร่างเวินวัน สะท้อนดอกไม้มุกที่ประดับเรือนผมให้ทอรัศมีสีชมพูเรื่อ ล้อมกรอบดวงหน้าละมุนให้ยิ่งงดงามจับตา
“ท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดจะตรัสหรือเพคะ” นิ่งรออยู่สักพักเวินวันก็เอ่ยถามเบาๆ
“วันเหนียง ข้าไม่ใช่สามีที่เหมาะสมกับเจ้า อย่าได้เฝ้ารอข้าอีกต่อไปเลย”
อ๋องผู้สำเร็จราชการหนุ่มมองหญิงงามสะคราญราวกับบุปผาที่อยู่ตรงหน้า ริมฝีปากระบายยิ้มบางๆ ระหว่างพูด
เวินวันจ้องมองบุรุษที่นั่งฝั่งตรงข้าม ชายผู้นั้นเอ่ยต่อไปว่า “สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ อาจารย์ห่วงเรื่องคู่ครองของเจ้ามากกว่าอะไรทั้งหมด หากได้พบชายที่เหมาะสมก็รีบออกเรือนเสียเถิด ไม่เพียงอาจารย์จะเบาใจ ตัวเจ้าเอง…ก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝามีที่พึ่งพิง”
เขานิ่งไปหลังพูดจบ