บทที่ 64
จวงไท่เฟยหลบร้อนมาพักอยู่บนเขาเซิ่งซานทางตอนเหนือของเมือง วันนี้ซู่เซิ่นฮุยขี่ม้าออกจากที่พักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และถึงปลายทางในตอนเที่ยงวัน บนเขาสงบวิเวก ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เขาเดินขึ้นบันไดหินใต้ร่มไม้ในป่ามาถึงหน้าตำหนักสมถะที่ตั้งอยู่กลางเขา แลเห็นมุมตำหนักโผล่วอมแวมกลางแมกไม้อยู่เหนือขอบกำแพง หมู่สกุณาขับขานเสนาะหู ข้างตำหนักคืออารามชีที่มีเสียงระฆังดังทั้งเช้าเย็น เป็นสถานที่ที่จวงไท่เฟยใช้ปฏิบัติธรรมในยามปกติ
ทหารยามเปิดประตูให้ ชายหนุ่มก้าวเข้าตำหนักแล้วเดินไปยังเรือนทิศใต้อันเป็นที่อยู่ของมารดา โดยสั่งให้หลิวเซี่ยงและผู้ติดตามคนอื่นรออยู่ข้างนอก ส่วนตนเองก้าวไปตามทางเท้าลัดเลาะสวนขนาดย่อมที่ปลูกต้นล่าเหมยไว้ห่างๆ กัน มาหยุดเท้าตรงเชิงบันไดหน้าเรือน
ข้ารับใช้นำความไปแจ้งล่วงหน้าแล้วว่าเขามา แต่ผิดคาดตรงคนที่เดินออกมาจากในเรือนกลับเป็นขันทีที่เป็นพ่อบ้านผู้เคยติดตามมารดาไปตำหนักแปรพระราชฐานคราวก่อน ฝ่ายนั้นคำนับเขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะถ่ายทอดคำพูดของมารดาให้ฟังโดยไม่มีผิดเพี้ยน “ข้ารับน้ำใจเจ้าไว้แล้ว กลับไปเถิด”
ซู่เซิ่นฮุยชะงัก แล้วมองไปทางประตูเรือน ขันทีถ่ายทอดคำพูดจบก็รู้ว่าเขาต้องมีเรื่องถาม จึงรีบเดินลงบันไดมารออยู่ข้างๆ อย่างพินอบพิเทาโดยไม่รอให้เขาเอ่ยปาก และแล้วก็ได้ยินชายหนุ่มถามขึ้นจริงๆ “เสด็จแม่มิได้ตรัสอะไรอื่นหรือ”
ขันทีค้อมกาย “ไม่มีแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ไท่เฟยตรัสประโยคนี้แค่ประโยคเดียวเท่านั้น”
“ทรงยุ่งอยู่หรือ”
ขันทีค้อมกายอีกครั้ง “ทูลท่านอ๋อง ข้อนี้กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ จวงหมัวมัวเป็นผู้อัญเชิญรับสั่งของไท่เฟยมาถ่ายทอดอีกที”
ซู่เซิ่นฮุยมุ่นหัวคิ้วยืนอยู่หน้าบันไดสักพัก “เจ้านำคำพูดของข้าไปกราบทูลที…” เขาเว้นช่วงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ลูกไปครานี้ไม่รู้เมื่อไรจะได้กลับมาทดแทนบุญคุณเสด็จแม่อีก ลูกอาลัยอาวรณ์เหลือเกิน ขอเสด็จแม่โปรดปลีกพระองค์จากธุระที่ติดพันอยู่ เสด็จออกมาให้ลูกได้เห็นพระพักตร์ด้วยเถิด”
ขันทีผู้นั้นรับคำแล้วหมุนตัวรีบเดินกลับเข้าไป
ซู่เซิ่นฮุยยืนรออยู่ตรงลานเรือนตามลำพัง ครู่หนึ่งให้หลังขันทีคนเดิมก็ซอยเท้าเดินออกมาอย่างว่องไว แค่เห็นสีหน้าลำบากใจของเจ้าตัว บุรุษหนุ่มก็รู้ผลแล้ว ไม่ผิดจากที่คิด พอเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายก็ค้อมกายคำนับแล้วรายงานอึกๆ อักๆ “ไท่เฟยตรัสว่าไม่อยากทำให้ท่านอ๋องทรงเสียเวลา ขอให้ท่านอ๋อง…ทรงกลับไปพ่ะย่ะค่ะ…”
อ๋องผู้สำเร็จราชการเงียบไป ยืนอยู่ตรงบันไดอย่างนั้นได้สักพักก็รั้งชายเสื้อคลุมทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้นอิฐโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว หันหน้าไปทางประตูบานนั้น
“ท่านอ๋อง…” ขันทีผู้นั้นร้องเรียกด้วยความตกใจพลางทำท่าจะเอื้อมมือมาประคองเขาไว้ แต่ก็ชะงักไปด้วยความลังเล ก่อนจะชักมือกลับแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปข้างในอีกครั้ง
คราวนี้ร่างของขันทีหายลับไปหลังประตูแล้วไม่ออกมาอีกเลย หน้าเรือนเหลือแต่ซู่เซิ่นฮุยเพียงผู้เดียว
ดวงตะวันเปลี่ยนมุมทีละนิด รอบตัวสงัดเงียบไร้สรรพเสียงใดๆ เงาที่คุกเข่าอยู่บนพื้นค่อยๆ เคลื่อนจากแผ่นอิฐทางด้านขวาของเขามาซ้อนกันสนิทอยู่ที่ใต้เข่า ก่อนจะเคลื่อนไปทางซ้ายทีละน้อยแล้วทอดยาวออกไปเรื่อยๆ
ตกบ่าย พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตก
ครั้นพอย่ำเย็นเสียงตีระฆังก็ลอยมาจากสิ่งปลูกสร้างข้างๆ เขานั่งคุกเข่ามาราวสามชั่วยามแล้ว
เชิงบันไดหน้าเรือนไร้แมกไม้ให้ร่มเงา แรกสุดตะวันแรงแผดแสงเหนือกระหม่อมจนเขาเหงื่อไหลโกรกหน้าผาก เสื้อผ้าเปียกชุ่มแนบลู่กับแผ่นหลัง จากนั้นหยาดเหงื่อค่อยๆ เหือดหาย แห้งสนิทไปกับเนื้อผ้า ริมฝีปากแห้งผากของชายหนุ่มปิดเข้าหากัน เอาแต่คุกเข่านิ่งอย่างนั้นไม่ขยับ สองตาทอดตรงไปยังบานประตูข้างหน้า
หญิงสกุลจวงแอบเดินกลับไปกลับมาไม่รู้กี่รอบแล้ว รอบสุดท้ายนางออกมายืนตรงมุมลับตาหลังประตู มองร่างที่ยังคุกเข่าใต้แสงอาทิตย์อัสดงด้วยความสงสารปานจะขาดใจ ก่อนจะจ้ำเท้าเดินกลับมาหน้าห้องจวงไท่เฟยแล้วคุกเข่าอ้อนวอนผ่านบานประตู “ไท่เฟย! ท่านอ๋องทรงคุกเข่ามาครึ่งวันแล้วนะเพคะ! น้ำสักหยดก็ไม่ได้เสวย! หากไท่เฟยไม่ทรงยอมให้เข้าเฝ้า ท่านอ๋องก็ไม่ทรงลุกขึ้นมาหรอกเพคะ พระอุปนิสัยเป็นเช่นไร ไท่เฟยก็ทรงทราบ ปล่อยให้ทรงคุกเข่าเช่นนั้นต่อไป พระวรกายไหนเลยจะรับไหว ช่วงที่ผ่านมาท่านอ๋องทรงเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทกายใจ ตรากตรำเพื่อบ้านเมือง ใช่ว่าทรงอยู่สบาย พอเสด็จกลับเมืองหลวงก็ต้องทรงงานต่อ หม่อมฉันใคร่ขอวิงวอนไท่เฟย ทรงเรียกท่านอ๋องเข้ามาเถิดเพคะ…”
นางพูดด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ เสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้
ข้างในเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงตอบกลับมาในที่สุด “เรียกเขาเข้ามา”
คนสนิทรีบโขกศีรษะขอบคุณแล้วลุกขึ้นจากพื้น เช็ดหางตา จากนั้นก็หมุนตัวซอยเท้าเดินออกไป