ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67
บทที่ 67
ซู่เซิ่นฮุยรู้ข่าวระหว่างทางกลับเมืองหลวงในวันที่เจ็ดหลังเกิดเรื่อง นอกเหนือจากความตกตะลึงคือความร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา เขารีบปลีกตัวจากขบวนใหญ่ ขี่ม้ากลับเมืองหลวงโดยมีผู้ติดตามและสัมภาระไม่มาก ครั้นพอวันที่เก้าซึ่งก็คือสองวันให้หลัง ระหว่างหยุดพักและเปลี่ยนม้าที่จุดพักม้ากลางทางก็ได้พบเฉินหลุนที่เร่งรุดออกจากเมืองหลวงมาหาตน
เฉินหลุนเล่าว่าตอนแรกที่ฮ่องเต้น้อยหายตัวไปหลันไทเฮาปิดบังแม้กระทั่งเสียนอ๋อง บอกแค่ว่าฮ่องเต้น้อยไม่สบาย จะงดเข้าร่วมประชุมราชสำนักชั่วคราว ระหว่างนั้นก็แอบส่งคนออกไปตามหาเองเป็นการลับทั้งในวังหลวงและในเมืองหลวง ทว่าฉางอันกว้างใหญ่ไพศาล มีคนอยู่อาศัยเป็นร้อยหมื่นคน จะหาเจอในเวลาอันสั้นอย่างไรได้ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้ว่าฮ่องเต้น้อยอยู่ที่ใด ทั้งยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าตัวจะกลับมาเอง พอตกเย็นของวันที่สองนางรู้ว่าปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว จำต้องขอความช่วยเหลือจากเสียนอ๋องเพราะหวาดกลัวลนลานจับใจ หลังสืบดูโดยละเอียดก็คาดเดาได้ว่าคืนนั้นฮ่องเต้น้อยลอบหนีออกจากตำหนักบรรทมแล้วซ่อนตัวบนรถที่ขนถังปฏิกูลออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครระแคะระคาย แม้แต่ทหารองครักษ์ก็ไม่เห็น จนสามารถออกจากวังหลวงไปคนเดียวอย่างราบรื่น
ฮ่องเต้น้อยหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยหลังออกจากวังหลวงโดยไม่มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว นับเป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงขั้นสูงสุด เสียนอ๋องตื่นตระหนกตกใจเสียไม่มีดี สั่งให้ปิดข่าวต่ออย่างแน่นหนา ระหว่างนั้นก็สั่งให้คนสนิทที่เชื่อใจได้ขยายขอบเขตการค้นหาโดยละเอียดเป็นวงกว้าง นอกจากในตัวเมืองฉางอันก็นึกได้ว่าฮ่องเต้น้อยอาจจะออกจากเมืองหลวงมาหาอ๋องผู้สำเร็จราชการ จึงให้เฉินหลุนตามมา
“ท่านอ๋องอย่าได้วิตกกังวลจนเกินไปเลย ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จออกจากวังหลวงตามลำพังเลยสักครั้ง เชื่อว่าจะต้องเสด็จไปที่ใดไม่ไกลหรอก ไม่แน่ว่าช่วงที่ข้าออกจากเมืองหลวง ทางนั้นอาจพบฝ่าบาท หรือไม่พระองค์ก็ทรงคิดตกแล้วจึงเสด็จกลับเข้าวังด้วยพระองค์เองก็ได้…”
เฉินหลุนเห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการมีสีหน้าเคร่งเครียด กลัวว่าเจ้าตัวจะเป็นทุกข์เพราะห่วงหลานชาย หลังรายงานสถานการณ์ทางฉางอันและวังหลวงจบจึงปลอบโยนไปอย่างนั้น ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว กลับก้าวพรวดๆ ออกจากจุดพักม้าแล้วตวัดตัวขึ้นอาชา ดูก็รู้ว่าจะเดินทางต่อ เขาจึงรีบตามไปด้วย
ระยะทางที่เหลือหมดไปกับการอาบดาวห่มจันทร์ เร่งทำเวลาทั้งกลางวันกลางคืน ในที่สุดขบวนเล็กของพวกเขาก็เข้าฉางอันในวันนี้ของเดือนเก้า
ตอนนี้ฮ่องเต้น้อยหายตัวไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว ซู่เซิ่นฮุยตรงเข้าวังหลวงในสภาพมอมแมมด้วยฝุ่นทั้งตัว ผู้ที่เฝ้ารอเขาอยู่คือเสียนอ๋อง ฟางชิง และขุนนางอาวุโสไม่กี่คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางและกำลังวิตกกังวลสุดแสน ส่วนฮ่องเต้น้อยซู่เจี่ยนนั้นนับแต่หายตัวไปก็เหมือนก้อนหินจมลงในมหาสมุทร จนป่านนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อยว่าอยู่ที่ใด วังหลวงปิดข่าวเงียบ สิ่งที่แจ้งกับคนนอกคือฮ่องเต้น้อยออกจากตำหนักไม่ได้เพราะอาการเจ็บป่วย
ผ่านมานานเนิ่นโอรสสวรรค์ก็ยังไม่หายป่วยและเยี่ยมหน้าออกจากตำหนักเสียที เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขุนนางใหญ่ทั่วไปเกิดความรู้สึกต่างๆ กัน บ้างเป็นห่วงเจียนจะขาดใจ บ้างนึกคลางแคลงสงสัย จึงเริ่มมีเสียงลือต่างๆ นานาอย่างห้ามไม่ได้
เสียนอ๋องเล่าว่าครึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาพวกตนได้ค้นหาทั่วทุกแห่งที่เป็นไปได้ในเมืองหลวงแล้ว เวลานี้กำลังขยายการค้นหาออกไปยังพื้นที่ของเมืองรอบนอกทั้งสี่ทิศของฉางอัน
เดิมทีความหวังที่เป็นไปได้มากที่สุดคือฮ่องเต้น้อยหนีออกไปหาอ๋องผู้สำเร็จราชการ ทว่าการคาดการณ์นี้ไม่เป็นจริงเสียแล้ว ได้แต่หวังว่าฮ่องเต้น้อยจะออกจากเมืองหลวงด้วยความโมโห ตอนนี้กำลังผ่อนคลายอารมณ์อยู่รอบๆ ฉางอัน เพราะนอกเหนือจากนี้ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าตัวยังจะสามารถไปที่ใดได้อีก
อ๋องผู้ชราโทษตนเองอย่างรุนแรงว่าไร้ความสามารถ ผิดต่อการฝากฝังของอ๋องผู้สำเร็จราชการก่อนเดินทางออกจากเมืองหลวง จนทำให้เกิดปัญหาใหญ่ร้ายแรงที่กระทบกับความมั่นคงของบ้านเมืองเช่นนี้ พูดพลางก็ยักแย่ยักยันจะทรุดตัวลงคำนับขอรับโทษจากซู่เซิ่นฮุย
นับแต่เกิดเหตุหลันไทเฮาก็ป่วยซมมาโดยตลอด เรื่องในวังหลวงและงานราชสำนักจึงกดลงบนบ่าของเสียนอ๋องทั้งสองทาง ผู้สูงวัยต้องประคับประคองราชสำนัก ปลอบขวัญเหล่าขุนนางใหญ่ ระหว่างนั้นยังต้องตามหาฮ่องเต้น้อย สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ทั้งยังถูกความกังวลรุมเร้าทุกคืนวัน แต่เดิมก็อายุมากอยู่แล้ว ยังต้องตรากตรำถึงขั้นนี้ กว่าซู่เซิ่นฮุยจะกลับมา ร่างกายก็แทบทนรับไม่ไหว ระหว่างที่ย่อตัวลงยังหวุดหวิดจะทรงตัวยืนไม่อยู่ ซู่เซิ่นฮุยรีบปราดเข้าไปประคองผู้เป็นลุงให้ยืนอย่างมั่นคง จากนั้นก็ปลอบโยนอย่างนุ่มนวล แล้วสั่งให้เฉินหลุนส่งเสียนอ๋องกลับไปพักผ่อนที่จวน เรื่องที่เหลือตนจะรับช่วงต่อเองทั้งหมด
เมื่อเสียนอ๋องและขุนนางอาวุโสคนอื่นๆ ออกไปแล้ว เขาก็ยืนอยู่ในหอตะวันตกของตำหนักเซวียนเจิ้งตามลำพังด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น ระหว่างกำลังใจลอย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็ดังขึ้นข้างนอก
หลันไทเฮาพยายามฝืนสังขารลุกจากเตียงโดยมีข้าหลวงช่วยประคอง รุดมาหาเขาถึงที่นี่
นางเป็นคนให้ความสำคัญกับรูปโฉมภายนอก ปกติหากต้องปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นจะสวมอาภรณ์งามหรู แต่งหน้าทำผมวิจิตรประณีต แม้แต่นัยน์ตายังต้องเป็นประกายวาววามดุจทองทา แต่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนกว่านางกลับเปลี่ยนไปจนดูผิดหูผิดตา กินอะไรไม่ลงมาหลายวัน ผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็นกระเซิง ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำและบวมเป่ง นับตั้งแต่เดินเข้ามาข้างใน ริมฝีปากคู่นั้นสั่นสะท้านตลอดเวลาอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ อาภรณ์บนร่างยังหรูหรางดงามก็จริง ทว่าไร้ชีวิตชีวาราวกับสิ้นวิญญาณ เหลือแค่เพียงเปลือกกายกลวงเปล่าเท่านั้น
“ท่านอ๋อง! น้องสาม!” ยามที่ร้องเรียกซู่เซิ่นฮุย น้ำตานางก็พรั่งพรูลงมาเป็นสาย “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที! ข้าน่ะตั้งตารออยู่ทุกคืนวัน ช่วยข้าคิดทีเถิด รีบคิดเร็วเข้า! เจี่ยนเอ๋อร์ยังจะไปที่ใดได้อีก! ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรขัดใจเขาเลย! แต่ข้าทำไปเพื่อตัวเขานะ ข้าหวังดีกับเขาจนหมดหัวใจจริงๆ! เหตุใดเขาถึงไม่ยอมเข้าใจความหวังดีที่ข้ามีต่อเขาบ้าง…”
หยาดน้ำตาไหลทะลักจากดวงตาบวมแดงของไทเฮา นางปัดข้าหลวงที่ช่วยพยุงให้พ้นทางแล้วถลาเข้าไปหาซู่เซิ่นฮุยโดยไม่ห่วงหน้าตา กางนิ้วมือทั้งสิบที่เรียวบางราวกับกิ่งไม้ขยุ้มท่อนแขนเขาไว้แน่นเหมือนเป็นฟางช่วยชีวิตทั้งที่ป่วยซมเหมือนใกล้ตายแล้วแท้ๆ เวลานี้กลับเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใดก็ไม่อาจรู้ได้ ปลายนิ้วจิกผ่านเนื้อผ้าลงบนท่อนแขนแข็งแรงกำยำของบุรุษหนุ่มตรงหน้าโดยแรง
“น้องสาม คิดเร็วเข้าสิ! เจ้าช่วยข้าคิดเร็วเข้า เจ้าต้องช่วยข้าตามหาเจี่ยนเอ๋อร์ให้เจอ! ถือว่าพี่สะใภ้ขอร้องเจ้าแล้ว! เจ้าจะต้อง…” นางชะงักไปเพียงเท่านั้น ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงพลันสะท้อนออกมาทางสายตา “น้องสาม เจ้าว่า…จะเกิดอะไรขึ้นกับเจี่ยนเอ๋อร์หรือไม่! เขาออกนอกวังหลวงไปเพียงคนเดียวนะ! ไม่มีใครติดตามไปด้วยเลย! จะเจอคนชั่วช้าสารเลวหรือไม่ เขาอายุยังน้อย จะเกิดคิดสั้นขึ้นมาหรือไม่…”
นางสั่นเทิ้มไปทั้งตัวจนแทบยืนไม่อยู่