ซู่เซิ่นฮุยกลับเข้าวังหลวงตอนฟ้ามืด วันนี้มีข่าวส่งมาจากที่ต่างๆ ไม่ขาดสาย ทว่ายังคงไร้ความคืบหน้าเหมือนเดิม ทางตำหนักหลันไทเฮาแจ้งมาว่าเนื่องจากนางตรอมใจสิ้นหวังและไม่ได้กินอะไรเลยมาหลายวัน พอกลับไปถึงตำหนักอารมณ์ก็พลุ่งพล่านจนหมดสติไปอีกครั้ง หมอหลวงกำลังรักษาอยู่ จากนั้นก็มีรายงานว่าเหล่าขุนนางใหญ่รู้ว่าเขาเพิ่งกลับมาถึงวันนี้ก็พากันมาขอพบ ทั้งที่เวลานี้ประตูวังหลวงปิดไปนานแล้วก็ยังรวมตัวกันอยู่ข้างนอก เสียนอ๋องกับฟางชิงที่รู้ข่าวมาช่วยพูดว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเพิ่งกลับมาจากเสด็จประพาสแดนใต้ ยังเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ขอให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปก่อน แต่ไม่มีใครยอมฟัง ยังคงรวมตัวกันหน้าประตูวังหลวงที่ปกติใช้เข้ามาประชุมช่วงเช้า
ซู่เซิ่นฮุยสั่งให้เปิดประตูปล่อยคนเหล่านั้นเข้ามา
หลี่เสียงชุนกับจางเป่าเข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า ซู่เซิ่นฮุยหลับตายืนหน้าคันฉ่องทองคำบานใหญ่ที่ขัดเสียจนเงาวับ เขายืนนิ่งงันไม่ขยับ สุดท้ายหลี่เสียงชุนใช้สองมือประคองหมวกขึ้นวางบนศีรษะเขาอย่างมั่นคง
“ท่านอ๋อง เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีสูงวัยบอกเบาๆ
เขาลืมตาขึ้น แล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที ไม่ได้มองเงาสะท้อนของตนเองในบานคันฉ่องด้วยซ้ำ
แม้จะดึกมากแล้ว ตำหนักเซวียนเจิ้งในวังหลวงเวลานี้ก็ยังจุดตะเกียงสว่างไสว ขุนนางฝ่ายปกครองส่วนกลางและขุนนางเมืองหลวงขั้นสี่ขึ้นไปหลายสิบคนกำลังรวมตัวกันที่นี่ บ้างหลับตายืนตรงที่ของตนตามลำพัง บ้างจับกลุ่มเล็กถกประเด็นกันเบาๆ
“อ๋องผู้สำเร็จราชการเสด็จ” เมื่อขันทีร้องประกาศ เสียงต่างๆ ที่ดังอึงมี่อยู่ภายในตำหนักก็สงัดเงียบลงทันควัน ทุกคนรีบแยกย้ายกลับประจำที่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย พอหันไปมองก็เห็นร่างคุ้นตาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูตำหนัก
อ๋องผู้สำเร็จราชการที่เพิ่งกลับเมืองหลวงเมื่อตอนกลางวันมาถึงแล้ว เขาสวมชุดราชสำนัก เดินเข้ามาในตำหนักด้วยย่างก้าวหนักแน่นมั่นคงเหมือนปกติ แล้วก้าวขึ้นนั่งประจำตำแหน่งท่ามกลางสายตามากมายที่มองมาจากรอบด้าน
เหล่าขุนนางคำนับเขาอย่างพร้อมเพรียง
ชายหนุ่มนั่งตัวตรงสง่าใต้แสงตะเกียงที่สว่างไสวราวกับตอนกลางวัน สีหน้าสุขุมเคร่งขรึม ท่าทางกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา
ฮ่องเต้น้อยไม่ปรากฏตัวติดต่อกันหลายวัน แม้วังหลวงจะให้เหตุผลว่าเจ้าตัวป่วยเป็นโรคร้ายจนไม่อาจออกมาพบเจอผู้คน ทว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาข่าวโคมลอยก็ยังเริ่มแพร่สะพัดในราชสำนักอย่างลับๆ มีคนสงสัยกันว่าบางทีอาจเกิดเหตุเหนือความคาดหมายที่ไม่อาจพูดออกมาได้ขึ้นกับฮ่องเต้น้อย และเหตุเหนือความคาดหมายนี้อาจส่งผลต่อความมั่นคงของแผ่นดิน
นั่นเพราะมีการเรียกใช้ทหารหกกองกำลังเป็นจำนวนมาก ความเคลื่อนไหวระดับนี้ต่อให้อยากเก็บเป็นความลับโดยอ้างว่า ‘ออกมาลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยตามปกติ’ ก็ไม่มีทางที่จะไม่สร้างความแตกตื่น ทุกคนอดตระหนกไม่ได้ ที่ยิ่งกว่านั้นคือนึกหวาดกลัวขึ้นมา
แต่บัดนี้เมื่ออ๋องผู้สำเร็จราชการกลับเมืองหลวงและปรากฏตัวให้เห็น ราชสำนักเวลานี้นอกจากฮ่องเต้น้อยซึ่งอยู่ในฐานะสูงกว่าเจ้าตัวก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากปกติทั้งสิ้น รูปการณ์เช่นนี้เป็นเสมือนยาสงบจิตใจที่ถูกเหล่าขุนนางจำนวนมากในตำหนักกินเข้าไป ความร้อนรนและความหวาดวิตกที่มีมาก่อนหน้าเบาบางลงทันที…
บางคนใจกล้าหน่อย พอรู้สึกโล่งใจแล้วก็คิดต่อไปว่าหากเกิดเหตุร้ายแรงปานฟ้าถล่มดังที่คาดไว้ แล้วอ๋องผู้สำเร็จราชการได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างราบรื่น ความจริงก็ไม่มีผลกระทบต่อราชสำนักแม้แต่นิดเดียว
หลายต่อหลายคนในที่นี้เคยได้ยินข่าวลือในอดีตว่าดูเหมือนสมัยฮ่องเต้เซิ่งอู่ยังมีพระชนม์ชีพได้เคยพิจารณาจะยกราชสมบัติแก่อันเล่ออ๋องอยู่เช่นกัน ทว่าในตอนนั้นฮ่องเต้หมิงตี้ซึ่งยังดำรงศักดิ์เป็นรัชทายาทชนะใจผู้คนได้อย่างล้นหลาม ทั้งยังรักใคร่สมัครสมานกับน้องชายคนนี้ดี ไม่มีจุดบกพร่องใดๆ ฮ่องเต้เซิ่งอู่จึงล้มเลิกความคิดนั้น
ถึงจะพูดจาจาบจ้วงสักหน่อย ต่อให้เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงข่าวลือไม่มีมูล แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับฮ่องเต้น้อยผู้ครองบัลลังก์ในปัจจุบันแล้ว หากแผ่นดินตกอยู่กับอ๋องผู้สำเร็จราชการอาจเป็นผลดีแก่ต้าเว่ยยิ่งกว่าด้วยซ้ำ…
เดิมทีเหล่าขุนนางล้วนแต่รู้สึกกระสับกระส่ายคลางแคลงใจ จึงแห่กันมาขอเข้าเฝ้า แต่บัดนี้หลังจากคำนับชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องบนแล้วได้ยินเจ้าตัวถามว่ามาชุมนุมกันกลางดึกด้วยเรื่องใด ทุกคนก็เหลียวมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครยอมพูดอะไรสักคน สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้า