บทที่หก
เซี่ยฉางเกิงออกจากวังอ๋องตรงกลับไปยังที่พัก มีคำสั่งให้ออกเดินทางในราตรีนี้ทันที
ผู้ติดตามของเขาพากันแปลกใจครามครัน
ปกติเขาเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า ทว่ายามนี้ใบหน้าเขาค่อนข้างบึ้งตึง ทุกคนลอบตระหนก แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในงานเลี้ยงถึงยั่วโทสะเขาได้มากเพียงนี้ แต่จะกล้าถามมากได้อย่างไร พวกเขาเร่งมือเก็บสัมภาระเสร็จอย่างว่องไว จากนั้นยกขบวนออกจากจุดพักม้ามุ่งหน้าสู่ประตูเมือง
ตอนใกล้ถึงหน้าประตูเมือง มีเสียงฝีเท้าม้าไล่กวดมาข้างหลังระลอกหนึ่ง
ลู่หลินเสนาบดีของแคว้นฉางซาขี่ม้าไล่ตามมา เขาร้องเรียกเสียงดัง “ผู้บัญชาการเซี่ย ช้าก่อน!”
เซี่ยฉางเกิงชักม้าหยุดช้าๆ
ลู่หลินไล่ตามทันแล้วพลิกกายลงม้า วิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปหา
เขาไม่สวมหมวกขุนนาง ยังสวมรองเท้าสลับข้างกันด้วย
“ผู้บัญชาการเซี่ย นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดถึงรีบร้อนจากไปในคืนนี้”
สีหน้าของเซี่ยฉางเกิงกลับเป็นปกติแล้ว เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อครู่ก่อนข้าออกมา ฝากสารไว้กับหัวหน้าจุดพักม้า ไหว้วานเขานำไปส่งต่อให้ตอนพรุ่งนี้เช้า จุดประสงค์ที่ข้าเดินทางมาครานี้ประการแรกเพื่อเซ่นไหว้ท่านอ๋องผู้ล่วงลับ ประการที่สองคือรับภรรยากลับไป ข้าเซ่นไหว้ท่านอ๋องผู้ล่วงลับแล้ว ด้านภรรยาของข้านั้น หลังจากนางไปอยู่ที่ขุยโจวแล้วไม่คุ้นเคยกับดินน้ำอากาศ ส่งผลให้ร่างกายไม่ปกตินัก ในเมื่อกลับมาถึงที่นี่แล้วก็ให้นางอยู่ฟื้นฟูร่างกายต่ออีกสักพัก อีกอย่างตัวข้ายังมีงานสำคัญอีก จึงได้ออกเดินทางในคืนนี้เลย ขอบคุณฉางซาอ๋องและท่านเสนาบดีที่ต้อนรับขับสู้ ข้าซาบซึ้งใจสุดจะกล่าว ท่านเสนาบดีส่งถึงตรงนี้เถอะ ข้าขออำลาก่อน วันหน้าค่อยพบกันใหม่”
ลู่หลินกลับถึงจวนเพิ่งเอนกายลงนอนได้ไม่ถึงครู่หนึ่ง ก็ได้รับรายงานว่าเซี่ยฉางเกิงจะพาคนกลับไปคืนนี้ แต่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เขาก็ตะลีตะลานไล่ตามมา
ทีแรกลู่หลินกังวลว่าไปล่วงเกินอีกฝ่ายด้วยเรื่องใดอีก เขาถึงได้โกรธจนเดินทางกลับในตอนดึกนี้ ครั้นตามมาถึงเห็นชายหนุ่มแย้มยิ้มเป็นมิตรก็ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง พูดรั้งตัวยกหนึ่งแล้วก็รามือ บอกว่าฉางซาอ๋องเมาสุราจากงานเลี้ยง เลยให้ตนรับหน้าที่ส่งเขาออกจากเมืองแทน
เซี่ยฉางเกิงมิได้ปฏิเสธ ปล่อยให้ลู่หลินตามไปส่งตนเองตามความต้องการ
ประตูเมืองเปิดออก ลู่หลินส่งเขาออกไปแล้วยังพูดจาตามมารยาทอีกชั่วครู่ ตอนท้ายมองตามแผ่นหลังชายหนุ่มขี่ม้าหายลับไปในม่านรัตติกาล ถึงพรูลมหายใจออกช้าๆ จากนั้นกลับเข้าเมืองอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้วไม่เอ่ยถึงอีก
ฝ่ายเซี่ยฉางเกิงควบม้าไปได้ระยะหนึ่งก็หยุดกะทันหัน
ผู้ติดตามเห็นเขาเหมือนจะมีเรื่องอะไรก็หยุดม้าตาม มองเขาเป็นตาเดียว
เซี่ยฉางเกิงเหลียวหน้าไปมองตัวเมืองที่ทอดเป็นเงาดำตะคุ่มๆ อยู่ในความมืดไกลออกไปทางเบื้องหลังแห่งนั้น นานพักหนึ่งถึงหันศีรษะกลับมาบอกผู้ติดตามนามว่าจูลิ่วหู่ซึ่งช่ำชองการสืบข่าว “เจ้าปกปิดร่องรอยแฝงตัวอยู่ที่นี่ พอแคว้นฉางซามีข่าวอะไรก็ส่งให้ข้า โดยเฉพาะท่านหญิง จับตาดูความเคลื่อนไหวของนางเอาไว้ ทุกๆ เรื่องยิ่งละเอียดยิ่งดี”
เขาสั่งกำชับด้วยใบหน้าเรียบเฉย