ลู่หลินอยู่ด้านข้างถอนใจอย่างกลัดกลุ้มหนักอก “เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ อยู่ดีๆ ไฉนผิดใจกันถึงขั้นนี้ ตอนเขาไป แม้จะสุภาพมีมารยาท แต่ข้าวิตกอยู่ไม่วายว่าเขาจะอาฆาตมาดร้ายอยู่ในใจหรือไม่ หลิวไทเฮาก็ไม่หวังดีต่อแคว้นฉางซาเราอยู่แล้ว ผู้บัญชาการเซี่ยนับได้ว่าเป็นคนของนาง เขามาคราวนี้ก็จำยอมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้ ข้ากลัวเขาจะเอาคืนน่ะสิ”
มู่ฝูหลันเอ่ยขึ้น “ตามความเห็นข้า เซี่ยฉางเกิงไม่น่าจะลงมือกับแคว้นฉางซารวดเร็วปานนั้น เขามักใหญ่ใฝ่สูง ในสายตาของเขาเพลานี้แคว้นฉางซาของเราไม่ถือว่าเป็นเช่นหินขัดขาด้วยซ้ำไป ต่อให้เขาผูกใจเจ็บก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงมาเล่นงานพวกเราตอนนี้ แต่วันหน้ากลับไม่แน่ มิสู้มองว่าเป็นภัยไกลตัวดีกว่าเจ้าค่ะ”
ชาติก่อนหลังจากเขาเป็นฮ่องเต้ เรื่องแรกที่กระทำคือยกเลิกแคว้นที่ยังมีอยู่ทั้งหมดและกวาดล้างเจ้าแคว้น
ยามนั้นแคว้นฉางซาถูกกำจัดไปแต่แรกแล้ว กระนั้นชาวสกุลมู่ที่หลงเหลืออยู่ยังได้ครอบครองเมืองเยวี่ยดังเดิมเพราะตำแหน่ง ‘หยวนโฮ่ว’ ของนาง นับว่าเป็นผู้โชคดีในบรรดาผู้ครองแคว้นทั้งหลาย
ทว่าชาตินี้เรื่องราวคงไม่เหมือนเดิมเป็นแน่แท้
หยวนฮั่นติ่งพยักหน้าแล้วกล่าว “เช่นนั้นภัยใกล้ตัวก็คือราชสำนักแล้ว มีข่าวตั้งแต่ปีกลายว่าราชสำนักจ้องจะเล่นงานแคว้นฉางซาของเรา เผอิญว่าเกิดกบฏเจียงตูอ๋องขึ้นพอดี ถึงพักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว บัดนี้ปราบปรามกบฏได้แล้ว รอเมื่อราชสำนักได้หยุดพักหายใจ เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายอีก”
ลู่ซื่อขมวดคิ้วแน่น “ดินแดนฉางซาของเราได้รับการแผ้วถางบุกเบิกโดยอดีตเจ้าแคว้นหลายรุ่น บัดนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ด้วยเหตุนี้ในสายตาของคนเหล่านั้นก็เปรียบได้ดั่งเนื้อชิ้นใหญ่”
ถึงแม้ทุกวันนี้แคว้นฉางซาไม่ฝืดเคืองเสบียงอาหาร ไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ ทว่ากำลังพลกลับมีอยู่อย่างจำกัดมาโดยตลอด ทหารประจำการถาวรมีแค่สองหมื่นนาย ซึ่งเป็นกำลังพลมากที่สุดที่ทุกๆ แคว้นจะมีได้ตามข้อบังคับของราชสำนัก
ก่อนหน้านี้เวลาราชสำนักจะจัดการพวกท่านอ๋องต่างสกุลมักยกจุดนี้มาเป็นข้ออ้าง
มู่เซวียนชิงพูด “วันนี้ไม่เหมือนวันวานแล้ว พวกเราไม่ทำอะไรสักอย่างช้าเร็วก็ต้องตาย ข้าตรึกตรองอยู่ว่าจะขยายกองทัพโดยเร็วที่สุด”
เขามองไปทางลู่หลิน “ขณะนี้ในแคว้นฉางซาเราสามารถเกณฑ์บุรุษที่แข็งแรงมาเป็นทหารได้ประมาณเท่าไร”
ลู่หลินตอบ “ปีที่แล้วขุนนางกรมอากรรายงานว่ามีบุรุษวัยสิบหกถึงสี่สิบปีราวห้าสิบหมื่นขอรับ”
“ดี” มู่เซวียนชิงพยักหน้า
“ต่อให้สุ่มเลือกหนึ่งในห้าก็จะมีทหารสิบหมื่นรวมกับไพร่พลเดิม หากแคว้นฉางซาเรามีกองทัพเกินสิบหมื่น จะต้องกลัวศัตรูภายนอกไปไย”
“ท่านอ๋องเป็นที่รักใคร่ในหมู่ราษฎร หากพระองค์มีบัญชาระดมทหารตอนนี้ต้องได้รับการขานรับอย่างแน่นอน แต่ว่าท่านอ๋อง เรื่องนี้ออกจะคิดง่ายดายเกินไปแล้ว”
ลู่หลินส่ายหน้า
“ถึงพวกเราเสี่ยงอันตรายลักลอบฝึกทหาร ปัญหาคือจะไปหาอาวุธชุดเกราะตั้งมากมายปานนั้นมาจากที่ใด หรือจะให้ทหารสิบหมื่นนายเดินตัวเปล่าถือไม้กระบองเข้าสู่สมรภูมิ ยามนี้ภายนอกวุ่นวายโกลาหล ผู้ใดบ้างไม่เสริมแสนยานุภาพกันอย่างสุดกำลัง แม้ว่าพวกเรามีเงินก็ใช่ว่าจะซื้ออาวุธได้ ถ้าจะทำเองก็ต้องมีเหล็ก ทว่าตอนพวกเจ้าแคว้นเริ่มกระด้างกระเดื่องเมื่อหลายปีก่อน แหล่งผลิตเหล็กทุกแห่งทั้งเล็กใหญ่ถูกราชสำนักกับพวกเจ้าแคว้นที่มีใจก่อกบฏยึดครองไว้แล้ว เมื่อครั้งอดีตท่านอ๋องยังมีชีวิตอยู่ เคยตั้งใจจะขยายกองทัพเช่นกัน แอบค้นหาเหมืองภายในอาณาเขตแต่ยังไม่พบ จนแล้วจนรอดเลยได้แต่เลิกราไป แล้วพวกเราจะไปเสาะหาเหล็กมาจากที่ใดในเร็ววันเล่า และต่อให้ได้มาไว้ในมือแล้ว โรงหลอมอาวุธใหญ่ถึงเพียงนี้จะหลบหลีกหูตาของราชสำนักได้เยี่ยงไร ยาก…ยากยิ่งนัก”
ลู่หลินทอดถอนใจ