เซี่ยฉางเกิงย่นหัวคิ้วแน่น เขาชั่งใจครู่เดียวก็ลุกขึ้นคุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้นด้วยท่าทางขึงขัง
“ท่านแม่ ลูกอกตัญญู ในวัยเยาว์ก็เป็นต้นเหตุให้ท่านต้องอกสั่นขวัญแขวน บัดนี้ยังสร้างความผิดหวังให้ท่านถึงขั้นนี้ เรื่องนี้หาใช่ลูกไม่ยินยอม แต่เวลานี้ไม่เหมาะจริงๆ”
“มีอะไรไม่เหมาะรึ!”
“ท่านแม่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน มีเรื่องภายนอกบางเรื่องที่ท่านไม่ทราบ จริงอยู่ว่าการรับคนเข้าเรือนเป็นเรื่องเล็กๆ ของเรือนหลัง ดังคำกล่าวว่า ‘ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น’* ถ้าเกิดสกุลมู่ของแคว้นฉางซาคิดว่านี่เป็นการไม่ให้เกียรติพวกเขา อย่างนั้นก็จะยุ่งยากอยู่บ้าง อีกทั้งขณะนี้ลูกเป็นขุนนางตำแหน่งสูงแล้ว ย่อมสร้างศัตรูในราชสำนักมากขึ้น ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่เพ่งเล็งอยู่ลับหลัง อันว่าคนที่จ้องเล่นงานผู้อื่น หาข้ออ้างจับผิดได้เสมอ แม้นี่เป็นเรื่องเล็ก แต่อาจถูกคนประสงค์ร้ายเอาไปขยายเป็นเรื่องใหญ่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะขอรับ”
นายหญิงเซี่ยตกใจอยู่บ้าง นางมองเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของบุตรชายแล้วค่อยๆ หยุดร่ำไห้
เซี่ยฉางเกิงลุกขึ้นจากพื้น
“ท่านแม่ บุญคุณที่สกุลชีมีต่อท่านแม่ ลูกจะกล้าลืมได้หรือ ลูกเห็นว่าท่านแม่จัดแจงเช่นนี้กลับเป็นการลดเกียรติของนาง ทั้งมิใช่ว่าต้องทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะแทนคุณได้ ท่านแม่รับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมก็ไม่เสียหาย วันหน้าถ้าลูกประสบผลสมดั่งใจจะปฏิบัติกับนางอย่างดี ตอบแทนบุญคุณที่นางช่วยชีวิตท่านแม่ในวันนั้นแน่นอน…”
เขายังกล่าวไม่จบก็มีคนเข้าประตูมาคุกเข่ากับพื้นดังตุบ
ชีหลิงเฟิ่งโขกศีรษะให้นายหญิงเซี่ย กล่าวเสียงเครือ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านดีต่อเฟิ่งเอ๋อร์ เฟิ่งเอ๋อร์ซาบซึ้งใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่หากพวกท่านสองแม่ลูกต้องกินแหนงแคลงใจกันเพราะเฟิ่งเอ๋อร์ เช่นนั้นเฟิ่งเอ๋อร์ก็มีโทษสมควรตาย ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดอย่าบังคับเขาอีกเป็นอันขาด พรุ่งนี้เฟิ่งเอ๋อร์ก็จะกลับไปอยู่เรือนของญาติพี่น้องเจ้าค่ะ”
นายหญิงเซี่ยรีบเข้าไปพยุงนางขึ้นแล้วกล่าวปลอบยกหนึ่ง นางหันหน้าไปทางบุตรชาย ขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าเห็นหรือไม่ เฟิ่งเอ๋อร์รู้ความถึงเพียงนี้ เทียบกับสตรีสกุลมู่ที่เจ้าแต่งเป็นภรรยาคนนั้นแล้ว ใครดีใครไม่ดีเจ้าสมควรรู้แจ้งแก่ใจดี! ในเมื่อเฟิ่งเอ๋อร์เอ่ยปากพูดเองก็พักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว แต่นางมาอยู่ที่นี่แล้ว จะกลับไปหาญาติพี่น้องอีกก็ไม่เป็นการดี ก็ให้นางอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรสาวบุญธรรมแม่ไปก่อน รอมู่ซื่อกลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที”
เซี่ยฉางเกิงไม่แสดงความเห็นใดอีก เขารับคำเอออออย่างกำกวม จากนั้นพูดว่าดึกมากแล้ว ขอให้มารดากลับห้องพักผ่อนถึงออกจากห้องไป
เขากลับถึงเรือนปีกตะวันออก หลังลงดาลประตูแล้วเดินหิ้วห่อสัมภาระไปที่หน้าตู้อาภรณ์ ตอนมือของเขากำที่จับประตูตู้ก็คิดบางอย่างขึ้นได้ฉับพลัน
ชายหนุ่มสองจิตสองใจชั่วครู่ถึงเปิดประตูตู้ออกช้าๆ
สิ่งที่ปะทะเข้ากับสายตายังคงไม่ผิดจากหนก่อน
ข้างในเต็มไปด้วยเครื่องแต่งกายของสตรี ไม่รู้ว่าในถุงผ้าปักใส่เครื่องหอมอะไรไว้ ผ่านไปนานปานนี้แล้วกลิ่นหอมรวยรินยังไม่จางลง
ราวกับว่าภาพบาดตาของสาวงามบนตั่งในวันนั้นปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาเซี่ยฉางเกิงอีกครา
กระโปรงสีแดงทับทิมบางเบาพลิ้วไหว
ต่อหน้าผู้คนวางท่าสูงศักดิ์ ลับหลังกลับไม่รักนวลสงวนตัวถึงขั้นนั้น ช่างน่าเหลือเชื่อดีแท้
เขาตวัดตาดูอาภรณ์ที่นางทิ้งไว้ในตู้แล้วคล้ายมองเห็นใบหน้านาง ในดวงตามีร่องรอยรังเกียจเดียดฉันท์ผุดขึ้นวูบหนึ่งก่อนปิดประตูตู้ดังปัง