บทที่ 7
ราตรีนี้ลู่ซื่อวิ่งวุ่นกับการจัดหาของกำนัลตอบแทนผู้ถือสารของวังหลวง และเก็บสัมภาระให้มู่ฝูหลัน ฝ่ายมู่เซวียนชิงก็ตระเตรียมของบรรณาการ คัดเลือกทูต และเตรียมการเรื่องคุ้มกันน้องสาวเดินทางเข้าเมืองหลวงวันพรุ่งนี้
ระหว่างที่พี่ชายพี่สะใภ้กำลังยุ่งวุ่นวายเพื่อตน ในใจมู่ฝูหลันก็ว้าวุ่นปั่นป่วน พลิกตัวกระสับกระส่ายข่มตาหลับไม่ลง
ยามที่นางนึกว่าทุกอย่างเริ่มค่อยๆ เป็นไปในทางที่ดี คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเกิดการพลิกผันเช่นนี้อีก
นี่เป็นเรื่องไม่คาดฝัน ผิดไปจากเหตุการณ์เดิมที่นางรู้ล่วงหน้ามา
หลิวไทเฮาเรียกตัวนางเข้าเมืองหลวงเช่นนี้ย่อมแอบแฝงจุดประสงค์ไม่ดีไว้
แล้วเซี่ยฉางเกิงมีบทบาทใดในเรื่องนี้
เมื่อหมดความได้เปรียบลง ทั้งคนที่ต้องเผชิญหน้ายังโหดเหี้ยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นางจำเป็นต้องตั้งสติให้ดีๆ รับมืออย่างสุขุมรอบคอบและระมัดระวังทุกฝีก้าว
รุ่งเช้าวันต่อมามู่ฝูหลันพร้อมด้วยแม่นมมู่กับสาวใช้ซึ่งร่วมทางไปด้วยก้าวขึ้นรถม้าที่อบอุ่น ติดตามผู้ถือสารจากวังหลวงออกจากแคว้นฉางซามุ่งหน้าไปตามเส้นทางสู่ทิศอุดร หลังจากเดินทางนานกว่าครึ่งเดือนเศษก็มาถึงเมืองหลวงในเดือนสิบสองของปีเดียวกัน
ตอนนางไปถึง ท้องฟ้าขมุกขมัวมีหิมะโปรยปราย เมฆดำทะมึนลอยต่ำละม้ายปกคลุมอยู่เหนือเขตพระราชฐาน รถม้าแล่นไปตามพื้นหิมะนอกเมืองที่ถูกคนกับรถม้าย่ำเหยียบผ่านไปมาจนละลายเฉอะแฉะ ผ่านประตูเมืองทิศใต้อันสูงตระหง่านเข้าสู่เมืองหลวงของโอรสสวรรค์
ตัวเซี่ยฉางเกิงนั้นออกไปเมืองใกล้ๆ เมื่อวานซืนยังไม่กลับมา หลังจากมู่ฝูหลันถูกส่งไปที่จวนของเขาซึ่งตั้งอยู่ทิศเหนือของเมือง ห่างจากวังหลวงแค่ถนนคั่นกลางสองสายเท่านั้นแล้ว ทูตของแคว้นฉางซาที่ร่วมทางมาด้วยกันก็ถือของบรรณาการไปที่วังหลวง เข้าเฝ้าถวายบังคมฮ่องเต้กับหลิวไทเฮาโดยไม่หยุดพัก
ผู้ดูแลในจวนไม่รู้ข่าวการมาของฮูหยิน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพบหน้าค่าตา เขางุนงงไปครู่หนึ่ง พอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วถึงลนลานพาบ่าวไพร่ในเรือนมาคารวะทักทายมู่ฝูหลัน ค่อยพานางไปยังเรือนใหญ่ของเซี่ยฉางเกิง
ห้องนอนทั้งกว้างทั้งใหญ่ แต่มีเครื่องเรือนไม่มาก นอกจากของจำเป็นอย่างเตียงตั่งโต๊ะเก้าอี้ ยังมีตู้หนังสืออีกตัวหนึ่ง บนราวแขวนอาภรณ์ข้างเตียงมีเสื้อคลุมฤดูหนาวของบุรุษกลางเก่ากลางใหม่แขวนอยู่ตัวหนึ่ง และกระบี่ยาวในฝักสลักลายเมฆห้อยอยู่ด้านข้าง นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีของอื่นใด ส่งผลให้ห้องดูว่างโล่งอยู่บ้าง
ภายในห้องเย็นเยือกเพราะไม่ได้จุดเตาผิง
ว่าไปแล้วก็น่าขัน
ชาติที่แล้วมู่ฝูหลันแต่งงานกับเซี่ยฉางเกิงตอนอายุสิบหก จบชีวิตตอนอายุยี่สิบต้นๆ ช่วงเวลาหลายปีนั้นแทบจะอยู่ในคฤหาสน์ประจำสกุลเซี่ยที่อำเภอเซี่ยในขุยโจวตลอด
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเหยียบย่างเข้าเรือนในเมืองหลวงของเขาหลังนี้
นางเหลียวมองรอบห้อง จู่ๆ สายตาก็นิ่งขึงไป
ผู้ดูแลรู้ว่านางเป็นธิดาอ๋องของแคว้นฉางซา เรื่องรูปโฉมงดงามนั้นไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย แม้แต่พวกสาวใช้ที่ติดตามมาก็แต่งกายอย่างพิถีพิถัน เขานึกว่านางรังเกียจที่เรือนซอมซ่อ รีบสั่งให้คนจุดไฟพลางกล่าวชี้แจง “ฮูหยินอย่าได้ตำหนิโทษเลยนะขอรับ แต่ก่อนนานทีปีหนท่านผู้บัญชาการจะมาอยู่ในเมืองหลวงสักครั้ง ท่านก็เลยไม่ให้ตกแต่งประดับอะไรมากมาย ถึงได้ดูทรุดโทรมไปบ้าง หนนี้ไทเฮาทรงรับฮูหยินมาก็มิได้ส่งข่าวล่วงหน้า ทำให้เสียมารยาทต่อท่านแล้วขอรับ”
ผู้ดูแลกล่าวอะไรบ้างมู่ฝูหลันไม่ได้ยินทั้งสิ้น
ดวงตาของนางเพ่งมองกระบี่ยาวที่ห้อยอยู่ตรงหัวเตียง แทบจะในชั่วพริบตาเดียว ตัวนางก็แข็งทื่อไป ลมหายใจติดขัด
ต่อให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน แหลกลาญเป็นธุลี ป่นปี้เป็นฝุ่นผง นางก็จดจำได้
กระบี่ยาวลายเมฆที่ห้อยอยู่ตรงหัวเตียงอย่างสงบนิ่งขณะนี้เป็นเล่มเดียวกับที่เซี่ยฉางเกิงมอบให้ซีเอ๋อร์ในภพก่อน
แล้วก็เป็นกระบี่ยาวเล่มนี้ที่ซีเอ๋อร์ใช้ปาดคอฆ่าตัวตายหน้าป้ายวิญญาณของนาง