บทที่ 1
เยี่ยเฟิงเป็นเด็กกำพร้า นางถูกเลี้ยงมาโดยจอมยุทธ์ท่านหนึ่ง นางกราบเขาเป็นอาจารย์และร่ำเรียนวรยุทธ์กับเขามาตั้งแต่เล็ก ครั้นอายุครบสิบแปดปีนางก็กราบลาอาจารย์ ลงเขาพเนจรไปเรื่อย นางทนไม่ได้ที่ต้องเห็นชาวบ้านทนทุกข์ นางจึงตั้งปณิธานอันแรงกล้า ระดมกำลังหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่เป็นคนยากคนจนไปลักขโมยสมบัติของขุนนางทุจริตเพื่อมาช่วยเหลือคนจน
นางเฉลียวฉลาดและมีใจกล้าหาญทั้งยังรู้จักการวางแผน ยิ่งนานวันคนที่ติดตามนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น นางนำพาพี่น้องไปสร้างค่ายบนภูเขาที่มีรั้วรอบขอบชิดเพื่อจัดเตรียมกำลังพลให้พร้อม และท้ายที่สุดก็ตั้งเป็น ‘ค่ายอูเจียง’
ค่ายอูเจียงมีกำลังพลสองร้อยกว่าคน เดิมทีพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่ในกฎระเบียบ แต่เป็นเพราะสภาพอากาศที่แห้งแล้งทำให้พวกเขามีชีวิตแร้นแค้นอดอยากติดต่อกันมาหลายปี ซ้ำยังไม่ได้รับเสบียงช่วยเหลือจากทางการ ขุนนางท้องที่ก็ละโมบโลภมาก ยังคงเก็บภาษีอย่างหน้าเลือด ขูดรีดพวกเขา ท้ายที่สุดบรรดาชาวบ้านก็ทนไม่ไหว พวกเขาคิดว่าจะไม่อดกลั้นอีกต่อไป ในเมื่อขุนนางบีบคั้น ชาวบ้านก็ต้องต่อต้าน จึงรวมตัวกันกลายเป็นโจรออกลักขโมยไปทั่ว
สำหรับเหล่าชาวบ้านแล้วเยี่ยเฟิงคือวีรสตรีที่คอยช่วยเหลือคนยากคนจน แต่ในสายตาของขุนนางท้องที่ พวกเขากลับเห็นนางเป็นหัวหน้าโจรที่คอยหาเรื่องอยู่ร่ำไป
ศึกครั้งนี้เหล่าพี่น้องในค่ายอูเจียงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ส่วนตัวนางเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ร่างกายของเยี่ยเฟิงมีบาดแผลถูกดาบฟันโดนกระบี่แทงนับไม่ถ้วน โลหิตไหลนอง ยามนี้นางยังพอมีลมหายใจอยู่บ้างจึงยืนหยัดด้วยจิตใจอันแน่วแน่ แม้จะมาถึงขีดสุดแล้วนางก็ยังคงอยากประคองร่างกายต่อไปให้ได้
ทว่าร่างนางไม่ได้ทำด้วยเหล็ก ยามนี้แขนขาล้วนด้านชาไร้ความรู้สึกเพราะสูญเสียเลือดมากเกินไป ร่างนางค่อยๆ รู้สึกหนาวยะเยือก เหลือเพียงสติที่ยังประคองไว้ได้ นางยังไม่ยอมแพ้ พยายามลืมตาขึ้น ไม่ยินยอมที่จะตายจากไปเช่นนี้
“พาเหล่าพี่น้อง…ถอยไปก่อน…หนี…หนีไป”
นางออกคำสั่งสุดท้ายด้วยลมหายใจที่ยังเหลืออยู่ แม้กำลังจะสิ้นใจนางก็ยังคงเป็นห่วงในความเป็นความตายของพี่น้องในค่าย
เหล่าพี่น้องในค่ายล้วนโอบล้อมอยู่รอบกายหัวหน้าใหญ่ที่บาดเจ็บสาหัสโดยมีหัวหน้ารองอยู่ด้านหน้า ทุกคนล้วนตาแดงก่ำ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหัวหน้าใหญ่ซึ่งใจกล้าเด็ดเดี่ยวกำลังจะจากพวกเขาไป
หัวหน้ารองมีนามว่าสือโม่เฉิน เขากุมมือนางไว้แน่น เอ่ยด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ “หัวหน้าใหญ่ ท่านวางใจ ข้าจะพาพี่น้องเราถอยออกไป จะไม่ทิ้งไว้แม้แต่คนเดียว”
เยี่ยเฟิงมองสือโม่เฉินก่อนเอ่ยคำออกมาอย่างยากลำบาก
“อย่าแก้…แค้น…”
พอเหล่าพี่น้องที่อยู่โดยรอบได้ยินเข้าก็ล้วนคัดค้านทั้งสิ้น
“หัวหน้าใหญ่ พวกเขาโหดร้ายเกินไป ทั้งที่ตกลงกันอย่างชัดเจนแล้วว่าขอเพียงพวกเรายอมแพ้ต่อทางการก็จะเว้นโทษให้และรับพวกเราไปเป็นทหาร ใครจะไปคิดว่าพวกเขาล้วนตระบัดสัตย์ คิดแต่จะสังหารพวกเรา หากแค้นนี้ไม่ได้ชำระก็นับว่าข้าไม่ใช่คน!” หัวหน้าสามมีนามว่าไฉหลางเอ่ยด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
นางคว้าสาบเสื้อของไฉหลางดึงเขามาเบื้องหน้า ถลึงตามองอย่างแข็งกร้าวทันที
“ห้ามเด็ดขาด!” นางข่มขู่เขาอย่างน่าสะพรึง “ห้ามแก้แค้น ได้ยินหรือไม่ พาพี่น้องทั้งหมดไปหาที่ซ่อน หากพวกเจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งของข้า ข้าจะนอนตายตาไม่หลับ ถึงข้าจะเป็นผีเป็นวิญญาณ ข้าก็จะไม่ไปที่ใด จะมาคิดบัญชีกับพวกเจ้า เข้าใจหรือไม่”
“แต่หัวหน้าใหญ่…”
“เข้าใจหรือไม่ ตอบข้ามา!”
ไฉหลางกัดฟันกรอด “ข้า…เข้าใจแล้ว!”
“สาบาน!”
ไฉหลางเม้มริมฝีปากแน่น ไม่เอ่ยวาจาสักคำ ท่าทางเช่นนี้เห็นชัดว่าเขาจะไม่ยอมรามือ