ฉู่เหิงจือรู้สึกประหลาดใจยิ่งที่นางสามารถเข้ามาในค่ายอูเจียงได้ ครั้นเห็นนางเข้ามาในค่าย ไม่ว่าจะพบใครนางก็สามารถเปลี่ยนจากสงครามเป็นสันติภาพได้เสมอ ทำให้เขายิ่งไม่อยากเชื่อ
นางมีวรยุทธ์ เป็นคนไม่เรื่องมาก ซ้ำยังเป็นน้องสาวร่วมสาบานของหัวหน้าใหญ่ค่ายอูเจียงอีกด้วย นางรู้เส้นสนกลในของหลายคนในค่ายเป็นอย่างดี นางรู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่เขากลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวนางเลย
ยังมีอีกกี่เรื่องของนางที่เขาไม่รู้
หลังจากที่สยงไห่นำพวกเขาเข้าไปในค่ายก็พาพวกเขาไปยังเรือนหลังหนึ่งแล้วจากไป
มีคนเฝ้าอยู่รอบด้าน พวกเขารอราวหนึ่งเค่อลูกสมุนคนหนึ่งก็พาพวกเขาไปพบหัวหน้ารองของค่าย
กวนอวิ๋นซีเดินเหินอย่างคุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตน ขณะเดียวกันพอพบกับคนคุ้นเคยมากมายนางก็เบิกบานใจยิ่งนักแต่กลับไม่อาจแสดงออกทางสีหน้าได้ ดวงตาคู่งามเป็นประกายนั้นได้แต่กลอกไปมา
“คล้ายว่าเจ้าจะไม่กังวลเลยสักนิดที่เข้ามาในถ้ำโจร?”
นางหันไปสบตาอันเฉียบคมของใครบางคนที่กำลังสืบเสาะอยู่
นางยกมุมปากพลางหรี่ตา ยิ้มตอบกลับไปอย่างงามหยาดเยิ้ม
“มีท่านอยู่ทั้งคน ข้าไม่กลัวอยู่แล้ว”
นางจงใจส่งสายตาหยาดเยิ้มจนใครบางคนตะลึงไป จากนั้นนางก็หันหน้ากลับไปมองนั่นมองนี่อย่างไม่คิดจะรับผิดชอบ
ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หน้ากากของใครบางคนนั้นแดงระเรื่ออย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาแอบนึกดีใจที่ตนเองสวมหน้ากากไว้
หลังมาถึงห้องโถงในค่าย หัวหน้าทั้งสองคนก็นั่งรอพวกเขาอยู่แล้ว
ครั้นหัวหน้าสามไฉหลางพบนางก็ยืนขึ้น เดินก้าวยาวๆ มาหานางทันที มองตรวจสอบทั่วร่างแล้วเริ่มซักถาม
“เมื่อคืนเป็นเจ้าหรือ น้องสาวร่วมสาบานของหัวหน้าใหญ่?”
กวนอวิ๋นซีก็มองตรวจสอบทั่วร่างอีกฝ่าย นางไม่ตอบแต่ถามกลับ “นำร่างหัวหน้าใหญ่กลับมายังค่ายอย่างปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่”
ครั้นได้ยินน้ำเสียง ไฉหลางก็แน่ใจว่าเป็นนางจริง
“พี่รอง นางเป็นคนช่วยข้าเมื่อคืน”
เมื่อคืนหัวหน้ารองสือโม่เฉินและหัวหน้าสามไฉหลางไปขโมยศพของหัวหน้าใหญ่ที่อี้จวง สือโม่เฉินรับผิดชอบขัดขวางทหารที่ตามไล่ล่า ไฉหลางแบกร่างหัวหน้าใหญ่หนีไป หลังจากภารกิจเสร็จสิ้นสือโม่เฉินก็รู้ว่าได้รับความช่วยเหลือจากสตรีนางนี้
สือโม่เฉินมองตรวจสอบนาง แม้เขาจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเยี่ยเฟิงมีน้องสาวร่วมสาบาน ทั้งยังสงสัยในฐานะของผู้มาใหม่ทั้งสองยิ่ง ทว่าที่ผ่านมาเขาไม่ใช่คนผลีผลามแสดงความคิดเห็น
“ยินดีที่ได้พบ”
ไม่เหมือนกับน้องสามที่เป็นคนร่างใหญ่ใจร้อน เขามีนิสัยสุขุมเก็บความรู้สึก คนอื่นถูกสตรีนางนี้เกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ ทว่าแววตาเขากลับจับจ้องอยู่ที่บุรุษสวมหน้ากากผู้ที่ไม่พูดไม่จามาตลอด
“ได้ยินว่าท่านคือจอมยุทธ์ผู้โด่งดัง คุณชายเถี่ยซั่น?”
ฉู่เหิงจือมองไปทางเขาพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “มิกล้า”
สือโม่เฉินลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินขึ้นหน้า เดินวนรอบตัวฉู่เหิงจือพลางมองตรวจสอบอย่างละเอียด
“ขออภัยด้วยที่ข้ามีความรู้ตื้นเขิน ข้าไม่เคยได้ยินฉายานี้ในยุทธภพมาก่อนเลย” ครั้นพูดออกไป ทันใดนั้นสือโม่เฉินก็ลอบโจมตีไปบนใบหน้าเขาหมายกระชากหน้ากากออก
แทบจะในขณะเดียวกันฉู่เหิงจือก็แฉลบกายหลบพ้นจากพลังฝ่ามือที่ถาโถมมา ทั้งสองคนประมือกันไม่เกินสิบกระบวนท่าก็แยกจากกันอีกครา
“นี่คือวิธีต้อนรับแขกของหัวหน้ารองหรือ” ฉู่เหิงจือเอ่ยเสียงเย็น
สือโม่เฉินหุบยิ้มทันที จับจ้องไปที่ฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาเย็นยะเยือก
“หากข้าจำไม่ผิด ท่านก็คือคนที่ประมือกับข้าเมื่อคืน” เขาตะโกนออกคำสั่งเสียงดังลั่นไปทางลูกสมุน “จับตัวพวกเขาไว้เดี๋ยวนี้!”