ฉู่เหิงจือพบว่ายิ่งนานตนเองยิ่งเคยชินกับนางที่เป็นเช่นนี้ ครั้นนึกถึงสถานการณ์ในค่ายบนภูเขายามกลางวัน เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยเสียงเรียบ “ทางที่ดีเจ้าควรระวังหัวหน้ารองไว้”
มือของกวนอวิ๋นซีที่คว้าชามอยู่ชะงักค้างแล้วก็หันไปมองเขา “หมายความว่าอย่างไร”
ครั้นฉู่เหิงจือพบหน้าสือโม่เฉินก็จำเขาได้ในทันที ยามนั้นบุรุษผู้นี้กอดศพของสตรีผู้นั้นไว้ แสดงสันดานเยี่ยงเดรัจฉานออกมา แววตานั้นคล้ายปีศาจที่กำลังคลั่ง ดูผิดปกติยิ่งนัก
แม้ในยามกลางวันหัวหน้ารองผู้นั้นจะมีท่าทางสุขุมและเก็บความรู้สึก ทว่าฉู่เหิงจือเชื่อว่าบุรุษผู้นั้นต้องมีอีกด้านที่คนอื่นไม่รู้แน่ๆ โชคดีที่ตนเองสวมหน้ากากไว้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามจำไม่ได้ แต่เขาเชื่อว่าหากหัวหน้ารองจำเขาได้แล้วล่ะก็จะต้องฆ่าเขาแน่
เขามองไปทางกวนอวิ๋นซี เห็นนางแสดงสีหน้าสงสัยจึงเตือนนางด้วยเสียงเข้ม “บุรุษผู้นั้นอันตรายนัก”
ครั้นกวนอวิ๋นซีได้ฟังก็ยิ้มอย่างกระจ่างแจ้ง
“นั่นมันแน่นอน น้องรองเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง มีวรยุทธ์สูงที่สุดในค่าย”
เขานึกสงสัยโดยพลัน “เจ้าเรียกเขาว่าน้องรอง?”
“ข้าเป็นพี่ แน่นอนว่าต้องเรียกเขาว่าน้องรองสิ!”
กวนอวิ๋นซีไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญจึงกรอกสุราไปอีกชามหนึ่ง ท่าทางเช่นนั้นคล้ายสตรีขี้เมานัก กระหายสุราจนไม่ยอมปล่อยมือ
ฉู่เหิงจือเอ่ยอย่างนึกขำ “พี่เฟยอิง เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว แล้วเขาอายุเท่าไร”
“ข้าอายุยี่สิบปี น้องรองอายุสิบเก้าปี น้องสามอายุสิบแปดปี ข้าโตที่สุดไง!”
เขาตะลึงงันอีกครา จับจ้องดวงหน้านางภายใต้แสงจันทร์ นางหน้าแดงก่ำนานแล้ว
“เจ้าเมาแล้วหรือ”
กวนอวิ๋นซีร้องฮึเสียงหนึ่ง เหลือบมองเขา
“ข้าเพิ่งดื่มไปครึ่งไหจะเมาได้อย่างไร ท่านสิเมาแล้ว”
ฉู่เหิงจือขมวดคิ้ว กำลังคิดจะห้ามไม่ให้นางดื่มต่อ ทว่าพอคิดอะไรได้ก็ชะงัก มิสู้ฉวยโอกาสนี้ลองหยั่งเชิงนาง
“ที่เจ้าพาข้าไปที่ค่ายบนภูเขามีจุดประสงค์อันใด”
“แน่นอนว่าข้าอยากให้ท่านไปดูให้เห็นกับตาว่าเหล่าพี่น้องในค่ายไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ภายนอกลือกัน หลายคนในนั้นใสซื่อและจงรักภักดียิ่ง เพียงแต่พวกเขายังต้องเลี้ยงดูครอบครัวจึงมาเป็นโจรภูเขา”
ฉู่เหิงจือถามอย่างหยั่งเชิง “เจ้าอยากให้พวกเขาสวามิภักดิ์ต่อทางการ?”
“ใช่!”
“เพราะเหตุใด”
นางมองเขาอย่างแปลกใจ “หากมีข้าวกิน มีที่นาไว้เพาะปลูก ใครจะอยากมาเป็นโจรบ้าง”
“แต่ว่าครั้งนี้ที่โดนทางการปราบ พวกเจ้าสูญเสียมากมาย เจ้าไม่แค้นทางการหรือ”
“แค้นสิ แต่ว่าแค้นแล้วช่วยอะไรได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องสืบหาความจริง ดูว่าใครเป็นคนก่อเรื่อง”
“เจ้าคิดว่ามีใครในนั้นก่อเรื่องขึ้นหรือ”
“ใช่สิ!”
“ใคร”
นางร้องฮึอีกครั้ง “ถ้าข้ารู้ข้าคงไม่มานั่งดื่มสุรากับท่านที่นี่หรอก”
เขาเลิกคิ้ว สัมผัสได้ว่าวาจานี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล
“หรือว่าถ้าเจ้ารู้ก็ไม่คิดที่จะมาดื่มสุรากับข้า?”
“แน่นอนอยู่แล้ว หากไม่มีเรื่อง ไยข้าต้องมาเสียเวลาขลุกอยู่กับท่านด้วย แน่นอนว่าข้าจะต้องมีเรื่องขอร้องท่าน”
ฉู่เหิงจือสีหน้ามิแปรเปลี่ยน ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับเพิ่มความอันตรายอันเย็นเยียบอีกหลายส่วน
“อ้อ ที่แท้เจ้ามาเอาใจข้าก็เพราะมีเรื่องจะขอร้องข้า?”
“แน่นอน ท่านเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเสนาบดี บิดาอยู่ในกรมอาญา มีทั้งกำลังและอำนาจ สามารถสืบคดีได้สะดวกที่สุดแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ข้ายังนึกว่าเจ้าหลงรักข้า จะแต่งงานกับข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพื่อข้าหรือ”
“คนที่กระโดดน้ำคือกวนอวิ๋นซี ไม่ใช่ข้าสักหน่อย”
เขาอึ้งไปทันที “เจ้าว่าอะไรนะ”
นางไม่สนเขา คว้าสุราขึ้นมาดื่ม แต่กลับถูกเขาจับมือไว้แล้วถามด้วยเสียงเข้ม “เจ้าไม่ใช่กวนอวิ๋นซี?”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว” นางขมวดคิ้ว อยากจะดึงมือออก แต่กลับถูกเขาจับไว้เสียแน่น