“เอาล่ะ” เวินเซ่าชิงมองจงเจินอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ใจอ่อน “ไปเตรียมตัวเถอะ ผมจะไปดูพี่คุณให้”
จงเจินดีใจมาก รีบเดินกระดี๊กระด๊าจากไปทันที
แต่ก็ยังน่าเสียดาย…ความปรารถนาสูงสุดที่จงเจินอยากให้บอสของเขาเจอพี่สักครั้งก็ยังไม่บรรลุผล
เวินเซ่าชิงยืนอยู่ที่ประตูห้องทันตกรรม มองเข้าไปด้านในเห็นเหอเหวินจิ้งก็ทักทาย “พี่ของจงเจินล่ะ”
เหอเหวินจิ้งนับถือรุ่นพี่คนนี้มานาน รีบตอบว่า “ไปแล้ว”
“ไปแล้วเหรอ” เวินเซ่าชิงถามต่อว่า “เป็นยังไงบ้าง”
เหอเหวินจิ้งทำท่าครุ่นคิดจริงจังมาก ก่อนจะสรุปว่า “เป็นคนสวยสไตล์สาวทำงาน แม้จะหน้าบวมก็เป็นคนสวยที่หน้าบวม”
เวินเซ่าชิงพูดไม่ออก “ถามถึงอาการป่วย”
“ไม่ตายหรอก อักเสบ มีไข้ เรื่องเล็ก ถอนฟันแล้วก็หมดเรื่อง แต่ว่ามีปัญหาเรื่องการกิน”
เวลางานเหอเหวินจิ้งทำงานแบบเรียบง่ายฉับไว พูดพลางทำท่าหล่อเท่ ยืนพิงเครื่องวัดดิจิตอล พยาบาลสาวสองคนเดินเข้าๆ ออกๆ มักจะแอบมอง เหอเหวินจิ้งเห็นเข้าก็ยิ้มให้พวกเธอ
เวินเซ่าชิงทนไม่ไหว “รุ่นน้องเหอ ถ้ายังทำแบบนี้อีก พยาบาลสาวพวกนี้ต้องตกหลุมรักเธอแน่ๆ”
พอพูดถึงเรื่องนี้เหอเหวินจิ้งก็ห่อเหี่ยว “แหม รุ่นพี่ ฉันดูไม่เหมือนผู้หญิงเลยเหรอ”
เวินเซ่าชิงบอกแบบอ้อมๆ “จากมุมมองด้านการแพทย์ ใช่เลย”
เหอเหวินจิ้งโวยวาย “โธ่ รุ่นพี่ ทำร้ายกันอย่างนี้คราวหน้าถ้าแนะนำคนรู้จักมารักษาอีก ฉันจะถอนฟันเขาให้หมดปากเลย แล้วค่อยๆ ใส่กลับเข้าไปทีละซี่ๆ!”
“เอาเลย” หมอเวินตอบพลางค่อยๆ ถอยออกนอกห้อง “อย่าลืมเก็บค่ารักษาสองเท่าด้วยนะ”
ฉงหรงใกล้จะเลิกงานแล้ว แต่นึกขึ้นได้ว่ามีเอกสารชุดหนึ่งลืมทิ้งไว้ที่บ้าน จึงส่งเมสเสจหาจงเจิน บอกว่าคืนนี้จะไม่กลับบ้านเขา
ฉงหรงทั้งอนุมานทั้งคำนวณอย่างรอบคอบรอบด้านที่สุด เลือกเวลาที่เวินเซ่าชิงมีโอกาสที่จะออกจากบ้านต่ำที่สุดเป็นเวลาที่เธอจะกลับมา แต่ขณะที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากลิฟต์ เตรียมวิ่งเหยาะๆ เข้าบ้าน ประตูฝั่งตรงข้ามก็เปิดผางทันที เวินเซ่าชิงในชุดอยู่บ้านสีอ่อนหิ้วถุงขยะกำลังจะออกจากบ้าน ด้านหลังมีรั่งอี๋รั่งเดินแกว่งหางตามมา
คนคํานวณมิสู้ฟ้าลิขิตจริงๆ
เวินเซ่าชิงเลิกคิ้ว “หลายวันนี้ดูเหมือนไม่ค่อยได้เห็นคุณเลย”
ฉงหรงโกหกหน้าตาย “อ่า…พักนี้งานยุ่งมาก ก็เลยนอนที่สำนักงานทนายความน่ะ”
“มืดแล้ว ใส่มาสก์ทำไม” เวินเซ่าชิงจ้องหน้าอีกฝ่าย
หญิงสาวกุมหน้าครึ่งซีก ตอบอู้อี้ว่า “ปวดฟัน”
เวินเซ่าชิงมองข้าวกล่องในมือเธอ “กินข้าวหรือยัง”
เธอก็ชูข้าวกล่องให้เขาดู “กินโจ๊ก”
ชายหนุ่มมองหน้าครึ่งซีกที่บวมเป่งของเธอแล้วเอ่ยถาม “ปวดมากมั้ย”
ฉงหรงพยักหน้าอย่างเซื่องซึม
เวินเซ่าชิงรู้สึกว่าสีหน้าเธอผิดปกติจึงถามต่อ “มีไข้เหรอ”
หญิงสาวพยักหน้าอีก
ชายหนุ่มจึงวางถุงขยะลงแล้วเดินเข้าไปหาเธอ “ถอดมาสก์ซิ ผมจะตรวจให้”
ฉงหรงรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ฉันไปหาหมอมาแล้ว อีกสองวันก็จะไปถอนละ” เธอไม่อยากให้เขาเห็นหน้าบวมๆ ของตัวเอง
เวินเซ่าชิงก็ไม่ฝืนใจ เปลี่ยนเรื่องถามว่า “ผมทำกับข้าวไว้ มากินด้วยกันหน่อยมั้ย”