“เวลานี้ท่านคงเข้าใจแล้วสินะว่าเพราะเหตุใดท่านจึงทำกร่างในคฤหาสน์สกุลจย่าได้”
มันเป็นคำเหน็บที่ไม่มีคำหยาบแต่กลับทำให้จย่าเป่าอวี้ต้องถลึงตามองอย่างฉุนๆ
หลินไต้อวี้ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ในคฤหาสน์สกุลจย่า ท่านยายเปรียบเสมือนท้องฟ้า ความเป็นความตายของทุกคนล้วนอยู่ในมือนางๆ จึงมองไม่เห็นชีวิตของสาวใช้บ่าวไพร่อยู่ในสายตา เช่นเดียวกับเจ้านายอีกหลายคนที่มองไม่เห็นค่าของชีวิตคน และสักวันท่านก็จะเป็นเหมือนอย่างพวกเขา”
สี่ปีที่อยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่า นางได้เห็นความเน่าเฟะ บ้าราคะ และเล่นสนุกกับสาวใช้ในคฤหาสน์สกุลจย่าทุกแบบ แต่พอเรื่องแดงขึ้นมา ถ้าคนผู้นั้นไม่ถูกบีบคั้นจนตายก็มีอันต้องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ครั้งแรกที่เห็นนางรู้สึกตกใจ แต่วันนี้นางกลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
เวลาแค่สี่ปียังทำให้นางชินชากับเรื่องประหลาดได้ แล้วคนที่ต้องโตขึ้นมาในคฤหาสน์สกุลจย่าจะไม่เปลี่ยนไปเป็นแบบเดียวกันได้หรือ
“ไม่มีทาง! ข้าไม่มีทางเป็นเช่นนั้น!” จย่าเป่าอวี้แผดเสียง
หลินไต้อวี้มองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย “ไม่ว่าท่านจะเป็นหรือไม่ ข้าล้วนไม่ใส่ใจ เพราะถึงอย่างไรพรุ่งนี้เช้าข้าก็จะไปจากที่นี่แล้ว”
“เจ้า!”
“เอาล่ะ เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือคิดหาวิธีจัดการเรื่องของเข่อชิงก่อน จะปล่อยให้นางอยู่ในคฤหาสน์นี้ต่อไปไม่ได้ และจะให้ใครรู้ว่าเข่อชิงอยู่ที่นี่ไม่ได้ด้วย หาไม่…” หลี่หวันกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ “แม้แต่พวกเราก็อาจจะมีปัญหา”
หลินไต้อวี้ชะงักก่อนเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าในคฤหาสน์สกุลจย่าสตรีกลุ่มนี้ไม่ได้มีความสำคัญในสายตาของท่านยาย แม้จะให้การเลี้ยงดู ไม่ได้ทอดทิ้ง แต่ก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ มอบให้ หากมีผู้ใดรู้ว่าพวกนางช่วยฉินเข่อชิงและนำตัวมาซ่อนที่นี่ ไม่แน่ว่าอีกวันพวกพี่สาวน้องสาวกลุ่มนี้อาจจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะกลับหยางโจวแล้ว ข้าจะพาพี่เข่อชิงไปหยางโจวด้วย”
ในเมื่อหลินไต้อวี้เป็นคนช่วยฉินเข่อชิง ย่อมต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด หาไม่นางคงต้องกระวนกระวายใจไปตลอดทางที่กลับหยางโจว
“ไม่ได้หรอก พี่รองเหลียนมีหน้าที่รับผิดชอบส่งเจ้ากลับหยางโจว หากเขารู้…” เสียงแผ่วหวานของจย่าอิ๋งชุนถูกกดลงให้เบาแสนเบาคล้ายกลัวว่าจะมีหูตาอยู่ที่หน้าต่าง
หลินไต้อวี้เผลอย่นหัวคิ้ว จริงด้วย ไม่รู้ว่าจย่าเหลียนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ แต่ถ้าเขารู้จักฉินเข่อชิงและบนรถม้ามีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน ก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้
“ฉวยโอกาสตอนที่พวกฮูหยินแยกย้ายกันหารถม้าสักคัน ส่งเข่อชิงไปที่บ้านมารดาของข้าก่อน แล้วค่อยส่งต่อไปที่บ้านมารดานางดีหรือไม่” หลี่หวันพูดเสียงเบา เมื่อคิดคำนวณแล้วว่านางสามารถหาสาวใช้รุ่นใหญ่สองคนให้ไปกลับรายงานที่บ้านมารดาเพื่อขอความช่วยเหลือได้
“จากนั้นล่ะ นางมิต้องอยู่ที่บ้านมารดาของพี่สะใภ้ตลอดไปหรือ” จย่าทั่นชุนที่ตกใจจนขวัญกระเจิงดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยถาม “เรายังไม่รู้แน่เลยว่าเพราะเหตุใดท่านย่าจึงทำเช่นนี้ แล้วยังจะฝืนส่งกลับไปที่บ้านมารดาอีกหรือ”
“ไม่ได้หรอก ถ้าส่งเข่อชิงกลับไปที่บ้านมารดา เรื่องนี้จะต้องไปเข้าหูท่านย่าแน่ๆ” น้ำเสียงของจย่าเป่าอวี้เยือกเย็น
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี”
จย่าเป่าอวี้นิ่งคิด “พรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับท่านย่าว่าข้าจะเป็นคนไปส่งผินผินกลับหยางโจว เมื่อนั้นพี่รองเหลียนย่อมไม่ต้องตามไปและเข่อชิงสามารถออกไปจากที่นี่ได้”
หลินไต้อวี้ปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนใจ “ข้าว่าคุณชายรองเป่าตั้งสติให้ดีกว่านี้ก่อนดีกว่า ท่านเป็นยอดดวงใจของท่านยายและเพิ่งจะอายุเท่าไร นางจะปล่อยให้ท่านเดินทางไปกับข้าได้อย่างไร”
สาเหตุที่พี่รองเหลียนได้รับมอบหมายให้ส่งนางกลับหยางโจวเป็นเพราะเขาสามารถรับภาระทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว และบางครั้งก็ต้องวิ่งรอกเหนือใต้ออกตกเพื่อดูแลที่ดินหลายๆ แห่ง
แต่จย่าเป่าอวี้ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบสองปี! ต่อให้เขาจะวางท่าดีมีอำนาจมากเพียงใดก็ยังไม่ถือว่าโตเป็นหนุ่ม การมีเด็กชายที่มีหน้าตาและท่าทางอย่างเศรษฐีเช่นเขาร่วมทางไปด้วยย่อมเป็นการกวักมือเรียกโจรป่าว่า ‘มาปล้นข้าสิๆ คุณชายมีเงินนะ!’