หลังจากอูมู่ฉินเอาเสื้อตัวนอกผึ่งแห้งและสวมกลับลงบนร่างแล้วก็พับเสื้อคลุมไว้เรียบร้อย วางไว้ใต้ร่างแล้วนั่งลง จากนั้นก็หยิบแผ่นแป้งออกมาย่าง ดูท่าทางแล้วฝนคงไม่หยุดง่ายๆ ในชั่วครู่ชั่วยาม อย่างไรเสียก็อยู่ว่างๆ ย่างของกินมากินแก้หิวดีกว่า
หลายวันมานี้กินแต่อาหารแห้ง ยากนักจะมีโอกาสได้ก่อไฟ นางจึงเอาแผ่นแป้งที่ตนทำไว้ออกมาย่างได้พอดี แป้งแผ่นนี้มีเนื้อสับ ในเนื้อสับมีเครื่องเทศที่นางคิดค้นขึ้นมาเองคลุกเคล้าอยู่ด้วยกัน กินเย็นก็ได้ แต่ถ้าเอามาย่างแล้วกินก็จะยิ่งหอมอร่อย
กลิ่นอาหารหอมเกินไปแล้ว ทำให้ตันไหวชิงไม่อาจสงบใจได้ เขาย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ต่อให้ฝึกฝนวรยุทธ์สูงกว่านี้ คนก็ยังต้องกินธัญพืชทั้งห้า ยังต้องถูกยั่วยวนด้วยกลิ่นสี กลิ่นหอมของอาหารนั่นจึงปลุกเร้าหนอนในกระเพาะจนก่อกวนเขาไม่หยุด
ยามนั้นเอง จู่ๆ นางก็หันหน้ามาถาม “จะลองชิมแผ่นแป้งที่ข้าย่างหรือไม่” นางใช้กระดาษน้ำมันห่อมาชิ้นหนึ่งและยื่นส่งให้เขา
“ไม่ต้อง” เขาหลับตาพักผ่อน เลือกที่จะไม่มองเสียก็หมดเรื่อง
อูมู่ฉินถูกปฏิเสธซึ่งหน้าก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะรู้แต่แรกแล้วว่าเขาต้องไม่รับ นางก็แค่ถามไปอย่างนั้น อย่างน้อยนางก็เลือกแสดงความเป็นมิตรแล้ว นางกินเองทั้งหมดก็แล้วกัน
หลังจากนางหันหน้ากลับไป ตันไหวชิงก็ลืมตาจ้องมองนางอีกครั้ง เห็นนางกำลังเคี้ยวแผ่นแป้งอย่างละเอียดแล้วค่อยๆ กลืน กลิ่นหอมนั่นก่อกวนกระเพาะของเขาอยู่ตลอด ทำให้เขากำหมัดแน่นอีกครั้ง
สตรีผู้นี้ช่าง…
ด้วยฝนยังคงตกไม่หยุดกระทั่งย่างเข้ายามราตรี ดูท่าคืนนี้คงต้องนอนค้างแรมในถ้ำแห่งนี้แน่แล้ว อูมู่ฉินจึงเติมกิ่งไม้ลงไปจำนวนหนึ่งให้กองไฟลุกไหม้นานขึ้นอีกหน่อย จากนั้นนางก็เปิดห่อสัมภาระ หยิบขวดเล็กๆ ออกมาขวดหนึ่ง ในเวลานี้เองกระบี่เล่มหนึ่งก็พาดมาที่ลำคอของนาง
นางชะงักอึ้ง หันไปมองสบตาคมกริบเย็นยะเยียบของตันไหวชิง
“นั่นคืออะไร” เขาถามเสียงหนัก
“ไล่ยุง ทาไว้บนร่างกายแล้วไม่ต้องกลัวยุงกัด” นางตอบสบายๆ ไม่กลัวการข่มขู่ของเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังเอาน้ำยาในขวดเทไปที่หลังมือและใบหน้า “ข้าจะทาลำคอ รบกวนหลบหน่อย” นางชี้ไปที่กระบี่ของเขาซึ่งยังพาดขวางลำคอนางอยู่
ตันไหวชิงดึงกระบี่กลับ นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นยังคงจับจ้องนาง เห็นนางยุ่งอยู่กับการทาถูไปตามใบหน้า ลำคอและใบหูของตน ถ้าของสิ่งนี้มีปัญหา นางคงไม่ทาไปบนผิวหนังของตนเอง คิดได้ดังนั้นแล้วจึงได้เลิกหวาดระแวง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าปลอดโปร่งแล้ว ทว่าสีหน้าของตันไหวชิงกลับเหมือนมีเมฆดำลอยอยู่เหนือศีรษะ เพราะเขาถูกยุงกัดทั้งคืนจนนอนไม่หลับ เขาลอบมองอูมู่ฉิน เห็นนางยังหน้าตาสดชื่นแจ่มใสคล้ายหลับสบายมาทั้งคืนก็รู้แน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่นางทาเนื้อทาตัวเมื่อคืนใช้ป้องกันยุงจริงๆ จึงมีเพียงเขาที่ใบหน้าถูกยุงกัดเป็นซาลาเปาสองลูก ตอนนางเห็นเข้า ท่าทางกลั้นหัวเราะของนางก็ทำให้เขายิ่งเสียหน้า
เขาย่อมไม่รู้ อูมู่ฉินอยู่ในป่าเขาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ นอกจากสัตว์ป่าและนกแล้ว ที่มีมากยิ่งกว่าก็คือหนอนแมลงต่างๆ ด้วยเหตุนี้ในหุบเขาจึงปลูกสมุนไพรนานาชนิดไว้มากมาย โดยเฉพาะสมุนไพรไล่แมลงป้องกันงูยิ่งมีไม่น้อย หาไม่นางจะหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาโดยไม่ถูกแมลงกัดต่อยได้อย่างไร
ทั้งสองเดินทางต่อไป ระหว่างทางยังคงไร้คำพูด ตันไหวชิงภายนอกดูเย็นชา แต่ยามที่นางไม่ได้สนใจ สายตาของเขากลับเบนมาที่ร่างของนางโดยไม่เผยร่องรอย
สตรีผู้นี้มองภูเขามองสายน้ำมาตลอดทาง ท่าทางชื่นมื่นสบายอกสบายใจยิ่ง บางครั้งยังเด็ดผลไม้ป่าที่ข้างทาง เอามาเช็ดกับแขนเสื้อไม่กี่ทีก็กินแล้ว เดินเหินนั่งนอนล้วนชื่นมื่นสง่างามแบบหญิงชายชาวยุทธ์ที่ไม่ถือเคร่งในกฎใดๆ
นางเป็นผู้ใดกันแน่…