หลินเต๋ออีเบี่ยงกาย มองอ้ายจื่อจินเรียบๆ “ตอนนี้เจ้าฟังคำถามข้าชัดเจนแล้วหรือไม่”
อ้ายจื่อจินพยักหน้าอย่างละอายใจ
“เจ้าคิดว่าจื่อเฟยกล่าวถูกต้องหรือไม่”
อ้ายจื่อจินมองหลินเต๋ออีแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะ เดิมทีนางก็มีความผิดอยู่ก่อนแล้ว คราวนี้หากไม่พูดอีก นอกจากจะเป็นการขัดคำสั่งของอาจารย์แล้ว ยังจะเป็นการผิดต่อความทุ่มเทตั้งใจของหลินเต๋ออีขึ้นมาจริงๆ แต่ถ้าให้นางพูดว่าตู้จื่อเฟยถูก นั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องขัดต่อหลักที่นางยึดถือมา นางไม่ใช่คนโกหกพร่ำเพรื่อ ยิ่งกว่านั้นคำโกหกนี้ยังเกี่ยวกับวิชาแพทย์ ถ้าประโยคนี้ของนางทำให้ผู้ป่วยเข้าใจหลักการแพทย์ผิดไป กระทั่งรักษาโรคไม่ถูกต้อง จะไม่ให้นางละอายต่อวิชาแพทย์ที่ตนเองหลงใหลได้หรือ สำหรับนางนี่ถือเป็นการเลือกที่ยากเย็นอย่างมาก นางสัมผัสได้ว่าสายตาทุกคู่ในสำนักล้วนพุ่งตรงเข้ามา หนึ่งในนั้นที่เข้มงวดที่สุดก็คือสายตาของหลินเต๋ออี
นางกัดฟันเบาๆ ก่อนเงยหน้าเผชิญสายตาของหลินเต๋ออี
สายตาหลินเต๋ออีลึกล้ำปานมหาสมุทร แม้เข้มงวดแต่ภายในยังคงแฝงความคาดหวังอันล้ำลึก
มุมหนึ่งในใจอ้ายจื่อจินพลันอ่อนยวบทันตา มุมปากขยับยกเล็กน้อย ขณะเดียวกันนั้นตู้จื่อเฟยก็กำพู่กันแน่นด้วยความเคร่งเครียด น้ำหมึกที่ปลายพู่กันพลันหยดเป็นจุดเข้มหนักบนกระดาษ
เสียงกระซิบกระซาบทั้งหมดหยุดลง ในอากาศอัดแน่นด้วยลมหายใจเข้าออกของทุกคน พวกเขาล้วนอยากรู้ว่านางจะตอบเช่นไร
อ้ายจื่อจินเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่ลังเล ทว่าน้ำเสียงเมื่อฟังดีๆ กลับพบความมั่นใจอยู่ในนั้น “ข้าเห็นว่าปลายยามอิ๋น* ต้นยามเหม่า** ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
“ยามอิ๋นยามเหม่าล้วนเป็นเวลาเช้าตรู่” ตู้จื่อเฟยระบายลมหายใจโล่งอก พูดเสียงเย็นราวกับหัวเราะเยาะที่นางขโมยคำตอบของตน
ในห้องโถงมีคนหลุดหัวเราะด้วยเช่นกัน
“เฮ้อ เอ่ยอันใดกัน ยามอิ๋นยามเหม่ามิใช่รุ่งเช้าหรอกหรือ เช่นนั้นก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าศิษย์พี่พูดถูกสิ”
“เฮ้อ นางไหนเลยจะรู้ ได้ยินศิษย์พี่พูดก็เลยพูดตามไปเสีย คิดว่าระบุชั่วยามโดยละเอียดก็คือคำตอบของตนเองแล้ว?”
อ้ายจื่อจินก้มหน้า เมินเฉยต่อคำถากถางเหล่านี้
หลินเต๋ออีกลับคลี่ยิ้ม ในรอยยิ้มคืนความอ่อนโยนเฉกเช่นยามปกติ “เพราะเหตุใด”
ทุกคนได้ยินหลินเต๋ออีถามเช่นนี้ก็พากันมองมาทางอ้ายจื่อจินอีกครั้ง ในดวงตาราวกับกำลังชมเรื่องสนุก อ้ายจื่อจินเหลือบมองหลินเต๋ออี ในใจรู้ว่าเขามองตนเองทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว นางจึงเอ่ยอย่างจนใจ “การไหลเวียนของเลือดลมมนุษย์มีแข็งแกร่งอ่อนแอ ถูกเวลาจึงแข็งแกร่ง พ้นเวลากลับอ่อนแอ เวลาแข็งแกร่งและอ่อนแอของเลือดลมในเส้นลมปราณแต่ละเส้นล้วนแตกต่างกัน เปิดในเวลาที่เหมาะสม ปิดเมื่อเลยเวลา เช่นนี้เรียกว่าจื่ออู่หลิวจู้* วิธีการฝังเข็มรมยาตามหลักจื่ออู่หลิวจู้คือต้อง ‘ระบายเมื่อแกร่ง เสริมเมื่ออ่อนแอ’ ยามอิ๋นเป็นเวลาที่เลือดลมในเส้นลมปราณปอดแข็งแกร่ง กระทั่งถึงยามเหม่าเลือดลมในเส้นลมปราณปอดจะอ่อนแอ เมื่อครู่อาจารย์วินิจฉัยว่าลมปราณปอดพร่อง การรักษาจึงต้องเสริมลมปราณปอดเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ รมหญ้าอ้ายเฉ่าที่ปลายยามอิ๋นต้นยามเหม่าเพื่อเสริมลมปราณปอดจึงจะเป็นเวลาที่ดีที่สุด”
“เยี่ยม!” หลินเต๋ออีชมเชยเสียงหนึ่ง หันหน้าไปเอ่ยกับคนทั้งหมด “นี่จึงจะเป็นหลักคนและฟ้ารวมเป็นหนึ่ง”
คนทั้งหลายปากอ้าตาค้าง สีหน้าตู้จื่อเฟยดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้เองก็แว่วเสียงดังเอะอะมาจากนอกประตู ตามด้วยเสียงฝีเท้าเร่งร้อนอลหม่าน ทุกคนหันหน้าไปอย่างตกตะลึง เห็นดาบเล่มเขื่องบาดตาเล่มหนึ่งฟันลงมาที่ประตูก็พากันตกใจหน้าถอดสีถอยร่นไปด้านหลัง
“ผู้ใดคืออ้ายจื่อจิน!” มือปราบตะคอกเสียงกร้าว
“เจ้าคิดจะทำอะไร!” หลินเต๋ออีตบโต๊ะลุกขึ้น ก่อนจะมีลมดาบหอบหนึ่งวาดผ่านอากาศมา ลำคอพลันเย็นวาบ ร่างกายแข็งค้าง ครั้นได้สติดาบเล่มเขื่องเป็นประกายวิบวับก็มาจ่อที่ลำคอของเขาแล้ว
มือปราบกุมดาบไว้ในมือ ถามเสียงเย็น “เจ้าคืออ้ายจื่อจิน?”
“พวกท่านจับคนผิดแล้ว ผู้นี้คืออาจารย์ข้า อาจารย์ข้าหลินเต๋ออี! นางถึง…” ตู้จื่อเฟยผุดลุกกะทันหัน ชี้อ้ายจื่อจินอย่างฮึกเหิมจนองคาพยพทั้งห้าบิดเบี้ยว แต่แล้วเสียงเขาพลันหยุดลง ทุกคนหันมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นเขาถูกมือปราบอีกคนใช้ดาบจ่อมาที่อก
มือปราบมองความโอหังที่อ่อนลงทีละน้อยของตู้จื่อเฟยอย่างดูแคลน แล้วเอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียม “หลินเต๋ออีอะไร! ข้าสั่งให้อ้ายจื่อจินออกมา!”
“ข้าคืออ้ายจื่อจิน ปล่อยอาจารย์กับศิษย์พี่ข้าไปเถอะ” แม้เสียงกระจ่างใสประหนึ่งสกุณาขับขานกลางหุบเขา แต่กลับแฝงด้วยความหนักแน่นและสงบนิ่ง