อ้ายจื่อจินถูกส่งเข้าคุกหญิง นักโทษหญิงรอบตัวพากันเบิกตาโพลง บ้างประหลาดใจ บ้างเฉยชา และมีอีกจำนวนหนึ่งที่เจือแววมุ่งร้ายอย่างเข้มข้น สายตาอำมหิตอย่างที่สุด อ้ายจื่อจินใจเต้นดุจรัวกลอง ทว่าภายนอกยังคงฝืนทำทีสงบนิ่ง
นางโดนส่งเข้าไปในห้องลับห้องหนึ่ง ก่อนถูกผลักอย่างแรงลงกับพื้น บนพื้นนั้นเย็นเฉียบและมีกลิ่นราอับชื้น ‘โรคทั้งหลายเริ่มจากความเย็น ความเย็นเริ่มจากเท้า’ เคยมีคนบอกนางเช่นนี้ เขาบอกนางอีกว่า ‘จุดหย่งเฉวียนของเส้นลมปราณไตอยู่ที่ฝ่าเท้า หากไม่ใส่ใจรักษาความอบอุ่น นานวันเข้าจะส่งผลให้หยางของไตพร่องสะสมจนกระทบให้อินของลมปราณไตไม่เพียงพอ กระทั่งอวัยวะภายในเสียสมดุล’ ทั้งที่แยกจากเขานานหลายปีเพียงนี้แล้ว นางก็ยังคงจดจำประโยคนั้นได้อยู่ตลอด ตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้นางจึงคอยระมัดระวังรักษาความอบอุ่นให้ฝ่าเท้าของตนเองอยู่เสมอ ทว่ายามนี้ถึงใจนางจะรู้ว่าต้องระวัง แต่ก็ไร้กำลังยับยั้งไอเย็นอันน่าหวาดหวั่นที่แผ่กระจายมายังใต้ฝ่าเท้าทีละนิด นางถอนใจคราหนึ่ง ค่อยๆ กวาดตามองห้องลับอันคับแคบห้องนี้
ห้องลับมืดสลัว แสงสว่างทั้งหมดมาจากคบไฟสองอันที่ปักอยู่บนผนัง พาให้ห้องที่เดิมเย็นเยียบสลัวรางยิ่งเพิ่มกลิ่นอายความน่าอึดอัด ผนังห้องเป็นลายพร้อย ตะไคร่ขึ้นจากมุมผนังและแผ่ขยายขึ้นด้านบน จิ้งจกสีเทาตัวหนึ่งแทรกตัวอยู่บนผนังขรุขระ เกาะนิ่งไม่ไหวติง
ทันใดนั้นจิ้งจกก็ถูกเงาคนที่สะท้อนบนผนังปกคลุม เงาคนเคลื่อนไหวรุกประชิดมาทางอ้ายจื่อจินทีละก้าว ชวนให้รอบกายนางคล้ายอยู่ในสู่ห้วงแห่งแรงกดดันอันไร้รูป
อ้ายจื่อจินลุกขึ้นหันไป แสงไฟไหววูบ ใบหน้าอำมหิตของบุรุษผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า นางผงะอึ้ง ครู่ใหญ่ถึงได้สติ จำได้ว่าเขาคือบุรุษเสื้อแพรที่สังหารชายคนนั้นในคืนนั้น นางจำได้ว่าเขาแซ่กัว
บนใบหน้าชายแซ่กัวมีคิ้วดกดำน่าเกลียดดุจแมลงสาบ ดวงตารียาวเหมือนขบคิดเรื่องชั่วช้าตลอดเวลา ทั้งที่ปากก็ดูไม่หนา ทว่าเวลายกยิ้มกลับมีสภาพเหมือนกุนเชียงตากแห้งเสียได้ และยามนี้ริมฝีปากนั้นก็ได้หยักยกเป็นเส้นโค้ง ยิ้มเหี้ยมเกรียมให้อ้ายจื่อจิน “คืนนั้นเจ้าอยู่ในที่เกิดเหตุ?”
อ้ายจื่อจินเงยศีรษะมอง แต่ไม่กล่าววาจา
ชายผู้นั้นถูกท่าทีเมินเฉยเช่นนี้ของนางกระตุ้นโทสะ ฉับพลันก็ชักกระบี่ยาวจากข้างเอวขึ้นมาตวัดตรงหน้า พร้อมกับเสียงตะคอกอันเข้มงวด “พูด!”
กระบี่คมกริบราวกับแช่อยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง พาไอเย็นหนาวเสียดกระดูกพาดผ่านลำคอขาวดุจหิมะของอ้ายจื่อจิน
อ้ายจื่อจินหน้าไม่เปลี่ยนสีประหนึ่งไม่สะเทือนต่อกระบี่ข้างลำคอ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถามขึ้น “มิทราบใต้เท้าหมายถึงคืนใด”
“เจ้าอย่ามาเสแสร้งกับข้า!” เขาเดือดดาลยิ่งนัก “มีคนเห็นเจ้าฝังเหอปู้ผิง”
ที่แท้คนผู้นั้นชื่อเหอปู้ผิง อ้ายจื่อจินลอบครุ่นคิด ใบหน้าเผยรอยยิ้มเสียดสี “เหอปู้ผิง? เหอปู้ผิงคือใครกัน ชายหรือหญิง แก่หรือผอม ใต้เท้า ข้าฝังคนมามากมายเหลือเกิน ขอทาน พ่อค้า ลูกไม่มีพ่อ พ่อไม่มีลูก…”
ไม่ทันขาดคำ เสียงฟาดฝ่ามือก็ดังกังวานขึ้นฉาดหนึ่ง อ้ายจื่อจินถูกตบจนเซถลาออกไปชนผนังเสียงดังตึง เลือดซึมออกมาจากหน้าผากทันใด ชายแซ่กัวไม่ให้เวลานางได้หอบหายใจ มือซ้ายบีบคอนางเอาไว้ และกล่าวอย่างโหดเหี้ยม “อย่ามาเล่นลูกไม้กับข้า! ชายที่มุมปากขวามีไฝคนนั้นก่อนตายพูดอะไรกับเจ้า ข้าขอเตือนเจ้า ไม่มีใครแกล้งบ้าแกล้งเสียสติต่อหน้าข้าได้ หากเจ้ายังอยากมีชีวิตรอด หัดดูให้ดีเสียบ้าง! ข้าไม่รักหยกถนอมบุปผา* หรอกนะ”
อ้ายจื่อจินหัวเราะเสียงเย็น พลางเอ่ยอย่างหยามเหยียด “เหมือนกับที่พวกท่านกระทำกับคนผู้นั้น?” สายตานางดุจกระบี่ที่เฉียบคม ไม่สะทกสะท้านต่อความตายแต่อย่างใด ทั้งยังแฝงด้วยรอยยิ้มหยันดูถูก
ชายหนุ่มตกใจในท่าทางไม่หวั่นกลัวแม้สักนิดของนาง นิ่งอึ้งเป็นครู่ก่อนตบนางล้มลงกับพื้นอีกครั้ง “ดี! เจ้าอยากเป็นสตรีผู้หาญกล้า เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้เป็น! ใครก็ได้!” เขาตบมือ ไม่ทันไรก็เห็นผู้คุมคุกสองคนวิ่งเหยาะๆ เข้ามา
“ดูแลแม่นางอ้ายท่านนี้ให้ดี” ชายแซ่กัวหัวเราะเสียงเย็น
“ขอรับ!” ผู้คุมคุกสองคนขานรับพร้อมกัน ก่อนจะเดินเข้ามาดึงอ้ายจื่อจินให้ลุกขึ้น และมัดนางกับเสาไม้กลางห้องลับ จากนั้นทั้งสองก็ใช้มือขวาหยิบแท่งไม้ไผ่ที่เหลาจนแหลมเล็กยิ่งแท่งหนึ่งออกมาจากอก ต่างคนต่างใช้มือซ้ายแยกกันดึงนิ้วโป้งของมือซ้ายและมือขวาของอ้ายจื่อจิน
ร่างอ้ายจื่อจินแข็งเกร็งในทันที นางหดนิ้วมือตามสัญชาตญาณ ทว่าไม่ทันกาล แท่งไม้ไผ่แหลมเรียวได้เสียบเข้าไปในเล็บนิ้วโป้งนางแล้ว