“ลู่อันหร่าน!” ลู่อันหร่านเพิ่งจะพูดได้ครึ่งเดียว รอยยิ้มบนหน้าของลู่เฉินที่ด้านหลังก็รักษาไว้ไม่อยู่แล้ว รีบส่งเสียงห้ามพลางคิดจะยื่นมือมาจับเขา
ลู่อันหร่านกลับหดตัวหลบเข้าอ้อมแขนภรรยาต้าเหอ แลบลิ้นใส่ลู่เฉิน “ท่านเคยพูดเองนี่นาว่าจะแต่งภรรยาตามที่ข้าชอบ ข้าไม่ชอบคนแซ่เฝิงนั่น ต่อหน้ายิ้มให้ท่าน ลับหลังกลับด่าข้าว่าเป็นตัวภาระ”
“ลู่อันหร่าน!” คราวนี้ลู่เฉินโมโหจริงๆ แล้ว เขาทำหน้าบึ้งพลางตวาดเบาๆ “มานี่!”
“ไปทำไม ท่านคิดจะตีข้าใช่หรือไม่ เสี่ยวหู่บอกว่าขอเพียงมีแม่เลี้ยงก็จะมีพ่อเลี้ยง ฮือๆ…” ลู่อันหร่านอารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็วโดยแท้ เพียงชั่วครู่ก่อนยังหัวเราะคิกคักแนะนำตัวอยู่เลย แต่ชั่วครู่ถัดมากลับร้องไห้โฮเสียแล้ว
ภรรยาต้าเหอเป็นคนรักเด็ก ทางหนึ่งช่วยเช็ดน้ำตาให้ลู่อันหร่าน ทางหนึ่งก็คิดจะเตือนลู่เฉินสักสองประโยค ทว่าอ้าปากแล้วกลับไม่รู้ว่าควรคุยเหตุผลกับ ‘ปัญญาชน’ อย่างไร จึงหันมารุนเยี่ยเหมยน้อยๆ “อาเหมย เจ้ารีบเตือนท่านลู่สักหน่อยว่า ถึงโมโหอย่างไรก็ไม่อาจระบายอารมณ์กับเด็กได้”
เยี่ยเหมยลอบถอนหายใจ เอ่ยกล่อมภรรยาต้าเหอว่า “อาสะใภ้วางใจได้เลย ท่านลู่ไม่มีทางลงมือทำร้ายลูกหรอก” ต่อจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปหยอกลู่อันหร่าน “เสี่ยวอัน ในเมื่อเจ้าเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ขัดต่อจารีตธรรมเนียมไม่พึงดู เช่นนั้นก็ต้องรู้เช่นกันว่าอะไรคือสิ่งที่ขัดต่อจารีตธรรมเนียมไม่พึงพูด ถูกหรือไม่ เจ้าลองคิดดูดีๆ ว่าคำที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้สมควรพูดกับท่านน้าและท่านป้าที่เพิ่งได้พบกันหรือไม่ อีกทั้งเจ้ายังเข้าใจอะไรมากเพียงนี้ จะต้องรู้ว่าอะไรคือคำคนน่ากลัวแน่นอนกระมัง”
ลู่อันหร่านเพียงแต่เหงาเกินไป บิดางานยุ่ง เขาก็ออกไปเดินเตร่ในสำนักศึกษา ครูพักลักจำมาอย่างละนิดละหน่อย มีเพียงความรู้ครึ่งๆ กลางๆ เมื่อก่อนมิใช่ไม่มีใครพูดจาไพเราะอ่อนโยนกับเขา หากแต่ในแววตากลับไม่มีความจริงใจเปิดเผยเหมือนกับเยี่ยเหมย ยิ่งไม่มีทางมีใครตั้งใจก้มหน้าลงมาสบตาเขา ให้ความรู้สึกว่าได้รับการให้เกียรติแก่เขาเหมือนกับเยี่ยเหมย
ในดวงตาลู่อันหร่านยังมีน้ำตาอยู่ เขาพยักหน้าหนักแน่น “ท่านน้า ข้ารู้ว่าอะไรคือคำคนน่ากลัว ข้าจะไม่พูดเหลวไหลส่งเดชอีก”
เด็กคนนี้หน้าตาดีโดยแท้ เขากะพริบดวงตากลมโตจ้องมองจนเยี่ยเหมยใจอ่อนยวบ อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าเด็กในท้องจะเป็นหญิงหรือชาย หน้าตาจะเป็นอย่างไร
“ท่านน้า ท่านรูปโฉมน่ามองยิ่งนัก เสียงก็น่าฟังอย่างยิ่ง” ประกายอบอุ่นอ่อนโยนด้วยความเป็นมารดาที่ฉายเต็มใบหน้านางทำให้ลู่อันหร่านที่ลอบสังเกตนางโดยตลอดยิ่งมีความรู้สึกดีๆ เพิ่มเป็นทวีคูณ ขยับชิดนางมากขึ้น ในดวงตาโตกลมดิกเต็มไปด้วยแววเคารพชื่นชม ใบหน้าเล็กแดงก่ำ ชวนให้คนเอ็นดูยิ่งยวด
แค่คำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เยี่ยเหมยก็มองออกได้แล้วว่าแม้เด็กคนนี้จะซนไปบ้าง แต่ก็เป็นเด็กฉลาดรู้ความ นางอดจะอยากทำให้เขาเบิกบานขึ้นไม่ได้ จึงหยิบหญ้ายาวที่วางอยู่ตรงมุมด้านหนึ่งบนเรือมา นิ้วโบกสะบัดพลิ้วไหวสานเป็นจิ้งหรีดสีเขียวที่ดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งออกมาได้ในเวลาไม่นาน จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้าลู่อันหร่าน “ให้เสี่ยวอัน”
ในดวงตากลมของลู่อันหร่านมีรัศมีแสงแตกตื่นดีใจสาดพุ่งออกมา “จริงๆ หรือ” พูดจบก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก จึงเงยหน้ามองลู่เฉิน “ท่านพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้ว ลูกรับจิ้งหรีดหญ้าที่ท่านน้าสานได้หรือไม่”
ลู่เฉินยังคงหน้าบึ้งตึง ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “รับไว้เถอะ ขอบใจ…แม่นางแล้ว”
ชาวบ้านชนบทของเมืองเซิ่งโจวจะเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตอง สตรีที่ยังไม่ออกเรือนไม่น้อยจึงเกล้าผมเป็นมวยเหมือนสตรีที่แต่งงานแล้วเพื่อความสะดวก ด้วยเหตุนี้พอเห็นเยี่ยเหมยเกล้าผมเป็นมวย เขาจึงไม่อาจแน่ใจในฐานะของเยี่ยเหมยได้ชั่วขณะ ทำได้เพียงกล่าวขอบใจเรียบๆ ไปประโยคหนึ่ง