ถ้าเป็นกองกำลังทหารยังดี เกิดเป็นโจรกลุ่มอื่นก็คงไม่ดีแน่ พวกโจรฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา ถึงตอนนั้นนอกจากจะช่วยเด็กๆ ไม่ได้แล้ว ชีวิตน้อยๆ ของตนก็ยังจะรักษาไม่อยู่อีกด้วย
“รีบไป!” นางสั่งการพวกเด็กๆ ส่วนตนเองก็พุ่งนำออกไปก่อนและเจอเข้ากับถูเหล่าอู่ที่วิ่งมาพอดี พอถูเหล่าอู่เห็นนางก็ตะลึงงันไปทั้งร่าง จากนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้ในทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ที่แท้มีขโมยจริงๆ ไม่ใช่ลิง แต่เป็นเจ้า!” เขาตวาดพลางคว้าดาบใหญ่พุ่งเข้ามาที่นาง
ขณะที่อูอีเสวี่ยกำลังจะดึงกระบี่อ่อนที่เอวออกมา อาหงที่อยู่ข้างหลังพลันพุ่งขึ้นมาข้างหน้า ชนถูเหล่าอู่ล้มลง พร้อมกันนั้นก็เอามีดกรีดไปที่หน้าแข้งเขาแผลหนึ่ง ถูเหล่าอู่เจ็บจนร้องโอดโอย บาดแผลที่หน้าแข้งมีโลหิตสดไหลทะลักออกมา ส่วนอาหงไม่รู้มีมีดสั้นอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร
อูอีเสวี่ยคลำไปที่เอว พบว่ามีดสั้นหายไปแล้ว ที่แท้เจ้าหนูนี่พอเห็นถูเหล่าอู่ถือดาบพุ่งเข้ามาก็รีบดึงเอามีดสั้นของนางพุ่งขึ้นไปตัดเส้นเอ็นขาของถูเหล่าอู่ จากนั้นอาหงก็พุ่งกลับมา จูงมือนางแล้ววิ่งออกไปข้างนอก เด็กคนอื่นๆ ก็ตามมา อาศัยช่วงชุลมุนหนีไป
“จับตัวมาให้ข้าให้หมด ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!” เสียงตวาดสั่งการทุ้มหนักโดยใช้พลังจากจุดตันเถียนดังขึ้น แม้จะมีเสียงดาบกระบี่ปะทะกัน เสียงนี้ก็ยังดังกังวานชัดเจน
อูอีเสวี่ยหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ ท่ามกลางแสงไฟนางเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่บนที่สูงกวาดตามองทุกอย่างที่เกิดขึ้น เงาร่างนั่น ใบหน้าดวงนั้น แม้จะอยู่ห่างกันไกลโขนางก็จำได้ในทันที…
สิงฟู่อวี่!
แสงไฟส่องสะท้อนองคาพยพทั้งห้าที่คมเข้มแข็งกระด้างเยียบเย็นของเขาให้เห็นชัดเจน เขายืนอยู่ที่นั่น ก้มลงมองทุกสิ่งด้วยท่าทีเฉยเมย คล้ายว่าเพียงยื่นมือออกไปก็สามารถบงการความเป็นความตายของทุกคนได้
อูอีเสวี่ยเพิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี จู่ๆ ก็เห็นเขาหันมองมา คงเพราะความทรงจำที่หน้าผามัจจุราชแจ่มชัดเกินไป หรือไม่ก็เป็นเพราะสัญชาตญาณในการหนีเอาชีวิตรอด นางดึงมืออาหงหมุนตัวได้ก็ออกวิ่ง
สิงฟู่อวี่หรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย ท่ามกลางแสงไฟที่ส่องสว่างไม่ทั่วถึง เขาเห็นเงาร่างตะคุ่มๆ สองเงากำลังฉวยโอกาสจะหนีไป จึงรีบยื่นมือไปทางลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง
“เอาธนูมาให้ข้า”
ลูกน้องรีบส่งธนูยาวสีดำให้เขา สิงฟู่อวี่จับคันธนูน้าวสายเล็งไปยังเงาร่างที่กำลังวิ่งหนี เสียงดังขวับ ยิงไปยังเป้าหมาย
อูอีเสวี่ยถูกผลักให้ล้มลง ร่างกลิ้งไปกับพื้นรอบหนึ่งจึงหยุด ที่แท้อาหงจู่ๆ ก็พุ่งเข้ามากอดนางแล้วเหวี่ยงตัวลง ตรงพื้นหญ้าข้างๆ กับที่พวกเขานอนอยู่มีลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่ ขนนกที่ปลายลูกธนูยังสั่นไหวน้อยๆ
อูอีเสวี่ยมองอาหงที่ปกป้องนางอยู่ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา เพราะถูกเขากอดอยู่ ดังนั้นเมื่อล้มลงบนพื้นจึงไม่รู้สึกเจ็บ นางอดซาบซึ้งใจไม่ได้ เจ้าหนูนี่มีคุณธรรมน้ำมิตร ไม่เสียแรงที่ตอนนั้นตนเสี่ยงต่ออันตรายไปช่วยเขา
อาหงดึงนางขึ้นมาจะหนีต่อ นางรีบห้ามไว้ “หนีไปอาจตาย ไม่หนียังอาจมีชีวิตรอด”
เมื่อครู่นางหุนหันไป ลืมว่าเวลานี้ตนเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง สิงฟู่อวี่ไม่มีทางจำนางได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่เขาสั่งให้จับ ไม่ใช่สังหาร ถ้ายังคงคิดหนีเท่ากับบีบบังคับให้อีกฝ่ายลงมือ ลูกธนูดอกนั้นคือการเตือน
อาหงเชื่อมั่นในตัวนางเต็มเปี่ยม ด้วยเหตุนี้พอนางเอ่ยปากเขาก็เชื่อนางอย่างไม่ลังเลใจ
เนื่องจากกำลังความสามารถแตกต่างกันไกล ฝ่ายตรงข้ามเป็นกองทหารจากราชสำนักที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การต่อสู้ในครั้งนี้จึงปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว กองกำลังทหารจับพวกกเฬวรากกลุ่มนี้ไว้ อูอีเสวี่ยกับพวกเด็กๆ ก็ถูกจับกลับมาด้วย
เด็กๆ จับกลุ่มอยู่ด้วยกันด้วยความหวาดกลัว อาหงดูสงบนิ่งมากที่สุด อูอีเสวี่ยมองเขาแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง แอบชมเจ้าหนูนี่ว่ามีอนาคต
หลังจากสงบใจได้แล้วนางเริ่มแยกแยะข้อดีข้อเสีย รู้ว่าเด็กๆ ไม่สร้างความรู้สึกคุกคามต่อผู้ใหญ่ และสิงฟู่อวี่จะไม่ทำอะไรที่เป็นภัยต่อเด็กๆ นั่นหมายความว่านางไม่ต้องห่วงว่าจะมีอันตรายต่อชีวิต
เพียงแต่นางสงสัยยิ่ง พวกค้าทาสกลุ่มนี้มีความสำคัญอันใด ถึงกับทำให้เขาใต้เท้าสิงต้องออกโรงมาจัดการด้วยตนเอง
ทหารทั้งหลายถือกระบี่ถือดาบ หันเข้าใส่พวกโจรที่ถูกจับตัวมาได้แล้วตวาดให้คุกเข่าให้ดี ส่วนสิงฟู่อวี่ก็พาลูกน้องคนอื่นๆ เดินมาทางพวกเขาที่ถูกจับเป็นเชลยกลุ่มนี้
ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้าไปรายงานจำนวนคนที่บาดเจ็บล้มตายและคนที่ถูกจับเป็น หลังจากสิงฟู่อวี่ฟังจบ สายตาก็กวาดมองไปยังใบหน้าคนเหล่านั้น มองประเมินไปทีละคนๆ
ตอนเขาเดินมาถึงเบื้องหน้าเด็กๆ สายตาก็กวาดมองผ่านใบหน้าทุกคน มองมาถึงนางสายตาก็ระผ่านไป ไม่ได้หยุดนิ่งลงแต่อย่างใด