หลินฟางโจวไปที่จุดซ่อมแซมกำแพงเมือง
พานเหรินเฟิ่งได้รวบรวมเงินเรียบร้อยแล้ว เขาวางแผนซ่อมแซมจุดที่กำแพงเมืองพังและจุดที่มีโอกาสพังทั้งหมด เขาเปิดรับคนงานมาทำงานนานแล้ว วันนี้เพิ่งเริ่มงาน แต่เป็นเพราะเงินน้อยงานหนัก คนที่มาจึงยังมีไม่มากพอ ดังนั้นประกาศรับคนงานที่ติดไว้ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ก็ยังใช้ได้อยู่
แม้เงินที่ได้จากการทำงานจะน้อยนิด ทั้งยังต้องทำสิบวันเต็มจึงสรุปเงินได้หนึ่งครั้ง แต่งานนี้ก็มีข้อดีอยู่เล็กน้อยคือมีอาหารให้กิน
หลินฟางโจวไปถึงกำแพงเมืองแล้วก็ลงชื่อก่อน จากนั้นจึงกินอาหารเช้า อาหารเช้านี้มีแค่สามอย่างคือชุยปิ่ง ผักดอง และโจ๊ก สามารถกินให้อิ่มได้ แต่ไม่อนุญาตให้แอบนำกลับไป
นางทั้งก่อกำแพงไม่เป็น ทั้งผสมดินก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงแค่ขนดิน นางต้องขุดดินจากนอกกำแพงแล้วใช้รถเข็นล้อเดียวขนกลับมา ขนแค่รอบเดียวเหงื่อก็ออกเต็มศีรษะและปวดหลังปวดเอวแล้ว คนคุมงานไม่พอใจที่นางเชื่องช้า เอาแต่เอ่ยปากเตือนนางบ่อยๆ “ต้าหลาง เจ้าทำงานเชื่องช้าเช่นนี้ยังไม่เท่ากับชุยปิ่งพวกนั้นที่เจ้ากินเข้าไปเลย จะให้ใต้เท้าต้องสิ้นเปลืองเงินกับพวกเจ้าไม่ได้นะ!”
“เจ้ามาลองเข็นเองสักรอบสิ ไม่รู้ว่ารถเข็นนี่อายุกี่ปีมาแล้ว ทั้งเก่าทั้งหนัก แม้รถว่างอยู่ก็ยังทำให้ข้าเข็นจนเจ็บมือได้!”
คนคุมงานหัวเราะเย้ยหยันที่นางแรงน้อยเหมือนแมวตัวน้อย หลินฟางโจวอยากจะชกไปที่ใบหน้าเขาสักหมัดหนึ่ง แต่นางก็ไม่มีทางเลือกเพราะยังต้องกินอาหารภายใต้แรงกดดันของผู้อื่นอยู่ ตอนนี้นางจึงทำได้เพียงอดทนต่อไปเท่านั้น
ตอนกลางวันพานเหรินเฟิ่งสวมชุดธรรมดาออกมาตรวจงาน เขายืนอยู่ไม่ไกลนัก ยามที่กำลังมองพวกคนงานกินอาหารอยู่นั้นก็ไม่มีคนงานคนใดมองเห็นการมาถึงของเขาเลย
พานเหรินเฟิ่งกวาดตามองไปตามกลุ่มคน เห็นหลินฟางโจวกำลังรับชุยปิ่ง หลังจากที่หลินฟางโจวรับชุยปิ่งไปแล้วสองชิ้นก็กลับไปนั่งคุกเข่าอีกด้านหนึ่ง ชิ้นหนึ่งกินเข้าไป อีกชิ้นหนึ่งก็สอดเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นก็เดินไปรับมาอีก
พานเหรินเฟิ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือหงุดหงิดดี จากนั้นเขาจึงเดินไปตะโกนขัดขึ้นมา “หลินฟางโจว!”
“หืม? ใต้เท้า”
“เจ้าคนหนุ่มโลภมากไม่รู้จักพอ แม้แต่อาหารของทางการก็ยังลอบเอากลับไปอีกหรือ เจ้าเอาชุยปิ่งใส่ไว้ที่หน้าอกเช่นนี้ ยามทำงานจะได้มีแรงสินะ”
หลินฟางโจวรีบยิ้มประจบพร้อมกับเอ่ย “ใต้เท้า ขะ…ข้าน้อย…ที่บ้านข้าน้อยมีเด็กอยู่ขอรับ…ให้เด็กทนหิวไม่ได้หรอก”
“พูดจาเหลวไหล เจ้าไม่เคยแต่งภรรยา จะเอาเด็กมาจากที่ใดกัน” พานเหรินเฟิ่งยังคงไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อ
“ข้าน้อยเก็บมาได้”