ได้ฟังคำของกุนซือ หลินรุ่ยเอินยังไม่ทันได้ตอบ ชายฉกรรจ์ผอมสูงด้านข้างก็เอ่ยปากขึ้นก่อน “กุนซือลู่ ลูกของท่านจะลงสนามรบได้อยู่แล้ว ท่านยังมานึกถึงหญิงงามอายุน้อยเช่นนี้ ทำเช่นนี้ผิดต่อฮูหยินนะขอรับ ถ้าจะให้ข้าพูด คนงามเช่นนี้ก็ดูเหมาะสมกับแม่ทัพของพวกเราอยู่บ้าง” พูดจบเขาก็หัวเราะคิกคัก ราวกับคิดว่าความคิดของตนเองไม่เลว
“หุบปาก!” หลินรุ่ยเอินตะคอกเสียงดัง “พูดบ้าอะไร”
คนละแวกนั้นพากันหันมามอง คนที่อยู่ในที่นั้นได้เห็นบุรุษเย็นชาเช่นเขาแสดงสีหน้าโมโหออกมาเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มสูงผอมตะลึงงันไปทันที ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใด
พอตะคอกออกไป หลินรุ่ยเอินก็รู้สึกเสียใจทันที คนเหล่านี้ล้วนเป็นพี่น้องที่ร่วมรบกับศัตรูบนสนามรบพร้อมเขา เขากลับควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่ เมื่อครู่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดจึงไม่อาจทนรับคำพูดส่งเดชที่แฝงความเพ้อฝันเหล่านี้ได้ เมื่อหันหน้าไปเห็นท่าทางเข้าใจแจ่มชัดของท่านกุนซือ ความรำคาญใจก็กลับมาอีกครั้ง พอหันไปอีกทาง สายตาก็ประสานเข้ากับท่าทางมองสำรวจด้วยความสงสัยของกุยหวั่น เขาจึงหันหน้ากลับมาในทันที และแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นนาง
ขณะที่หลินรุ่ยเอินกำลังรำคาญใจอยู่นี้ ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มก็มาที่หน้าตำหนัก ตะโกนพูดเสียงดัง “ฮ่องเต้ ฮองเฮา อิ๋งกุ้ยเฟยมาถึงแล้ว”
เหล่าขุนนางและภรรยาในตำหนักล้วนก้มหน้าคำนับ ทั่วตำหนักใหญ่เงียบสงบลงในทันที ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ตามด้วยเสียงพูดอ่อนโยนเสียงหนึ่ง “ตามสบาย”
กุยหวั่นเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองเห็นหญิงสาวยืนขนาบข้างกายฮ่องเต้ด้านละคน สตรีที่ยืนอยู่ด้านขวามือคืออิ๋งกุ้ยเฟยผู้ที่ทำให้กุยหวั่นรู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า ส่วนคนซ้ายมือคงจะเป็นฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดิน
ได้ยินว่าฮองเฮาอยู่ในตำหนักในหาเรื่องอิ๋งกุ้ยเฟยสารพัด กุยหวั่นอดสงสัยไม่ได้จึงมองไปยังฮองเฮา นางสวมชุดแขนเสื้อยาวกรุยกรายสีม่วงอ่อน แม้จะดูไม่ได้งามล่มเมืองเหมือนกับอิ๋งกุ้ยเฟย แต่ก็เป็นหญิงที่งดงามคนหนึ่งเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นนางดูมีสง่าราศี ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ไม่กล้าเข้าใกล้
ถึงกับเป็นหญิงเช่นนี้ไม่เสียทีที่เป็นมารดาแห่งแผ่นดินกุยหวั่นอดนึกชื่นชมในใจมิได้
ในตอนนี้ฮ่องเต้ประทับบนแท่นประทับแล้ว กุยหวั่นก็นั่งลงพร้อมกับโหลวเช่อและขุนนางคนอื่นๆ
โต๊ะสุราจัดเตรียมพร้อมสรรพ แต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะทรงอนุญาตย่อมไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง กุยหวั่นเงยหน้ามองไปยังองค์ฮ่องเต้ เขาแตกต่างกับที่นางคิดไว้โดยสิ้นเชิง ฮ่องเต้มีพระพักตร์หล่อเหลา พระชนมายุราวสามสิบพรรษา ดูงามสง่ายิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้กุยหวั่นรู้สึกเสียดายก็คือเขาขาดความเฉียบคมและเด็ดเดี่ยวของการเป็นผู้นำ ตอนที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงเป็นองค์รัชทายาท เพราะปกติจะเข้ากับคนง่ายจึงได้รับความรักจากราษฎร แต่ผู้เป็นฮ่องเต้นั้นความอ่อนโยนเช่นนี้อาจจะนำความรำคาญใจมาให้เขาได้มากมาย
เห็นฮ่องเต้ทรงชูจอกสุราหยกขึ้น กุยหวั่นก็ยกจอกสุราหยกขาวตรงหน้าขึ้นเช่นกัน ในชั่วขณะนั้นนางไม่ได้ยินเลยว่าฮ่องเต้ตรัสอะไร ข้างหูมีเสียงดังอื้อขึ้นว่า ‘ใต้หล้าสงบสุข’ บ้าง ‘พืชพรรณอุดมสมบูรณ์’ บ้าง ‘เป็นความรุ่งเรืองที่หาได้ยากตั้งแต่เริ่มรัชสมัยมา’ และ ‘ฝ่าบาททรงพระปรีชา’ อะไรทำนองนี้ คำพูดยกยอที่เสแสร้งดูเป็นเรื่องปกติในสถานการณ์เช่นนี้เสียจริง กุยหวั่นฉีกยิ้ม ยังคงรักษาท่าทีของตนเอาไว้
“นี่คือภรรยาผู้งามพร้อมของท่านโหลว?” กุยหวั่นได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น เห็นฮ่องเต้กำลังจ้องหน้านางอย่างอ่อนโยน
โหลวเช่อที่อยู่ข้างกายเอ่ยปากขึ้น “กราบทูลฝ่าบาท นี่คือภรรยาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
กุยหวั่นอมยิ้มลุกขึ้นคำนับ