บทที่ 1 วันนี้คือยามใด วาสนาไซร้งดงามเยี่ยงนี้
ทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างหมื่นลี้ แผดเผาไอร้อนประหนึ่งดวงตะวัน
แผ่นดินเหลืองอร่ามดั่งทอง แทรกตัวคั่นกลางอยู่ระหว่างผืนฟ้าและปฐพี
แสงสะท้อนสีขาวแสบตา ล้วนเกิดจากซากสิ่งมีชีวิต หรือไม่ก็โครงกระดูกมนุษย์
ทะเลทรายไป๋หลงตุยนอกแคว้นโหลวหลัน* มีชื่อเสียงก็ด้วยเพราะพายุมังกรและภาพลวงตาของมัน
หากไม่มีชาวโหลวหลันที่ชำนาญเส้นทางคอยชี้แนะนำทางแล้วละก็ โอกาสที่จะเอาชีวิตรอดออกมาจากทะเลทรายแห่งนี้ก็แทบจะเป็นศูนย์
ภูเขาทรายสูงต่ำยาวติดกันเป็นทอด ผู้คนหลายสิบกำลังพยายามดิ้นรนให้พ้นจากปากเหวแห่งความตาย
เมื่อเจ็ดวันก่อน คนนำทางชาวโหลวหลันของพวกเขาหักหลัง ฉวยโอกาสตอนพายุทรายก่อตัวขึ้นกะทันหัน ทิ้งพวกเขาชาวฮั่นทั้งกลุ่มหลบหนีไป
พวกเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะวรยุทธ์หรือกำลังวังชาล้วนมิใช่ชั่ว หากแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าธรรมชาติอันโหดร้าย ก็มิต่างอันใดกับมดตัวจ้อย
หากยังไม่พบแหล่งน้ำ พวกเขาคงต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วนิรันดร์ กลายเป็นหนึ่งในกองกระดูกขาวโพลนพวกนั้น
จ้าวพั่วหนูเขย่าถุงน้ำในมือ เหลือน้ำอีกเพียงไม่กี่อึกสุดท้ายแล้ว
เขายื่นถุงน้ำให้กับเด็กชายอายุสิบสองสิบสามปี
เด็กชายมองดูริมฝีปากที่แห้งแตกของอีกฝ่ายปราดหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านดื่มเถอะ”
ขณะที่จ้าวพั่วหนูกำลังจะเอ่ยปาก เด็กชายก็พูดเสริมขึ้นเบาๆ “นี่เป็นคำสั่งของข้า”
ทุกคนต่างเข้าใจว่าเด็กชายคนนี้เป็นญาติสนิทของจ้าวพั่วหนูซึ่งถือโอกาสตอนออกสำรวจดินแดนตะวันตก* พาเด็กชายออกมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มีเพียงจ้าวพั่วหนูเท่านั้นที่รู้ว่าคำสั่งของเด็กชายหมายความเช่นไร
จ้าวพั่วหนูชักถุงน้ำกลับ แต่แทนที่จะดื่ม เขากลับเก็บมันเข้าข้างเอวดังเดิม ในใจมีเพียงความคิดเดียว เขาต้องช่วยเด็กชายคนนี้ให้รอดออกจากทะเลทรายไปให้ได้แม้ต้องใช้เลือดทั้งหมดในร่างเขาแทนน้ำก็ตาม
“ท่านเดินทางเข้าออกทะเลทรายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ในหมู่พวกเรามีเพียงท่านเท่านั้นที่คุ้นเคยกับทะเลทรายเป็นอย่างดี พวกเราจะมีชีวิตรอดต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่าน เพราะฉะนั้นจงดื่มน้ำเสีย สมองของท่านจะได้ปลอดโปร่งพอที่จะคิดหาวิธีพาพวกเราออกไปจากทะเลทรายแห่งนี้ ต่อให้พวกเราต้องตายกันหมด ท่านก็สมควรที่จะเป็นคนสุดท้าย” แม้เด็กชายจะกำลังพูดถึงความเป็นความตาย แต่น้ำเสียงของเขากลับเหมือนไม่เห็นมันเป็นเรื่องสลักสำคัญ
หลังเดินเท้าท่ามกลางทะเลทราย ทรมานจากความหิวกระหายนานถึงเจ็ดวัน ในที่สุดจิตใจที่เคยมุ่งมั่นของพวกเขาก็เริ่มพังทลายลงจนสิ้น บนใบหน้ามีเพียงความหม่นหมองสิ้นหวัง แต่เด็กชายอายุสิบสองสิบสามปีคนนี้ แม้ริมฝีปากจะแห้งแตก ใบหน้าอิดโรยซีดเผือด ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่งเยือกเย็น
ตะวันยังคงฉายแสงแรงกล้าแผดเผาแผ่นพื้นธรณี แผดเผาร่างกายของพวกเขาอย่างไร้ปรานี
ชีวิตของพวกเขาถูกเผาไหม้เป็นจุณไปทีละน้อย
เม็ดทรายสีทองแต่ละเม็ดล้วนกำลังเริงระบำสักการะเทพเจ้าแห่งความตาย ต้อนรับการมาเยือนของพวกเขา
จ้าวพั่วหนูที่เดินอยู่หน้าสุดทำมือส่งสัญญาณบอกให้หยุด ทุกคนพากันชะงักเท้า
เห็นจ้าวพั่วหนูทำท่าเงี่ยหูฟังเช่นนั้น เด็กชายก็รวบรวมสมาธิตั้งใจฟังเช่นกัน
กรุ๊งกริ๊งๆ…
เสียงคล้ายกระพรวนดังลอยอยู่กลางอากาศคล้ายมีคล้ายไม่มี
ชายสองสามคนร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “เสียงกระดึง! เสียงกระดึงอูฐ!”
แม้จะเป็นเพียงแสงสว่างเล็กๆ ภายใต้เงามัจจุราช แต่เสียงกระดึงที่ฟังดูไกลห่าง ณ เส้นขอบฟ้านั้นกลับเสมือนหนึ่งเสียงสังคีตจากแดนสรวง
เด็กชายยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ในเมื่อยามเผชิญหน้ากับความตายเขาไม่แม้แต่จะรู้สึกสิ้นหวัง ดังนั้นเมื่อยามความหวังปรากฏเขาย่อมไม่รู้สึกตื่นเต้นยินดีอันใด สายตาเฉยชาราวกับจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย
* โหลวหลัน เป็นราชอาณาจักรโบราณ ตั้งอยู่บนจุดพักสำคัญของเส้นทางสายไหม ฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลทรายหลัวปู้พอ (Lop Nor)
* ดินแดนตะวันตก หรือซีอวี้ เป็นคำที่ชาวจีนสมัยฮั่นใช้เรียกดินแดนนอกด่านทางตะวันตกซึ่งได้แก่บริเวณซินเจียงไปจนถึงแถบตะวันออกกลาง