บทที่ 2
เป็นเวลาตีสองกว่าแล้วแต่ชัชพลเพิ่งหยุดพักจากการนั่งวิปัสสนา ร่างสูงเดินมาจากหอพระซึ่งอยู่ติดกับวิหารเพื่อมุ่งไปยังเขตที่พักด้วยความคุ้นชิน มีเพียงแสงจันทร์และไฟฉายกระบอกเล็กในมือช่วยนำทาง แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อสายตาคมกล้าที่ชินกับความมืดมองเห็นคนชุดขาวสองคนอยู่ไกลลิบโน่น ไม่คาดคิดว่าเวลานี้นอกจากตนเองแล้วยังจะเหลือใครที่ไม่นอนอยู่อีก
แต่เมื่อระยะห่างถูกลดทอนลง…ได้เห็นเงาร่างทั้งสองอย่างชัดเจนจึงรู้สึกผิดคาดขึ้นมาทันที ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปหาร่างบางที่กำลังมีสีหน้าหวาดหวั่นขวัญผวา เมื่ออีกฝ่ายหันมาประสานสายตากับเขาและรับรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวอีกต่อไปก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
“มีอะไรรึเปล่าครับ” ชัชพลถามลอยๆ ไม่เจาะจงว่าเอ่ยคำถามนั้นกับใคร
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมเป็นรัตน์สิกา แต่อีกร่างหนึ่งนั้นเล่า…ชายหนุ่มเพ่งมองเลยไปทางเบื้องหลังของหญิงสาวเล็กน้อย ในเงามืดของต้นไม้มีเพียงแสงสลัวราง แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการมองเงาร่างหนึ่งซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ แม้ไม่ได้มุ่งหมายในด้านร้ายแต่อย่างใดทว่าก็สะกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นในใจของผู้มองเห็น
ร่างสูงใหญ่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็น ‘ของดี’ ของวัดแห่งนี้ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือความต้องการที่แท้จริง คำถามที่เอ่ยจึงอยากส่งไปถึงฝ่ายนั้นด้วย
“เมื่อกี้นี้…เป็นคุณนี่เอง” รัตน์สิกากล่าวพร้อมเสียงถอนหายใจยาวๆ พลางลูบหน้าลูบตาตัวเอง เหมือนพยายามปลุกความมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ช็อกจนร่างกายเย็นเฉียบ
“เมื่อกี้ทำไม” ชัชพลละสายตาจากอีกจุดหนึ่งมามองคนตรงหน้า
“ฉันได้ยินเสียงแล้วก็เห็นหลังแวบๆ คงเป็นคุณนี่เอง ตอนแรกที่ไม่เห็นใครก็ตกใจแทบแย่”
“ผมนั่งสมาธิเสร็จก็เพิ่งกลับมานี่เอง” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น รอยยิ้มที่เบ่งบานบนใบหน้าของอีกฝ่ายจึงหุบลงทันที…ชายหนุ่มหันไปมองผู้เป็นต้นเหตุแล้วจึงเอ่ยถามผ่านทางกระแสจิต
“มีอะไรครับ เธอทำอะไรให้ท่านไม่พอใจรึเปล่า”
อีกฝ่ายค่อยๆ หันไปมองทางร่างบางด้วยแววตาบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจนัก แล้วหันกลับมามองเขาพลางส่ายศีรษะน้อยๆ
“หากเธอทำอะไรล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด ผมจะเตือนเธอให้”
ยังคงไม่มีคำตอบใดๆ ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนตัวต้นเหตุจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
หญิงสาวรู้สึกว่าเขาชักจะมองเลยไปทางเบื้องหลังเธอนานแล้ว ขณะที่กำลังจะหันไปมองตามสายตาของอีกฝ่ายหูก็ได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วๆ ทั้งยังรู้สึกได้ถึงลมที่พัดมากระทบท้ายทอยวูบหนึ่ง หัวใจดวงน้อยเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ…ตัวแข็งค้าง ไม่กล้าหันกลับไปมองทางด้านหลัง ขนแขนยังลุกซู่ขึ้นมาทันทีทันใด ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้าเธอก็คงจะกรี๊ดแตกไปแล้ว
“ขะ…ข้างหลังฉัน” ร่างบางเค้นเสียงลอดผ่านลำคอ
“ทำไม” ชัชพลถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย รัตน์สิกาจึงฮึดด้วยแรงเฮือกสุดท้ายหันขวับไปมองข้างหลังแล้วสายตาก็พบเพียงความว่างเปล่า
เกินไปแล้ว…วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับเธอมากเกินไปจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเฉียดใกล้เหตุการณ์อะไรที่ถือว่าหลอนขนาดนี้มาก่อน หญิงสาวคิดกับตัวเองในใจ ขณะที่อีกฝ่ายพยายามปลอบ
“คงไม่มีอะไรแล้ว คุณไปนอนเถอะ”
“แต่ฉันได้ยินเสียง แล้วยัง…” คนตัวเล็กกว่าหันกลับมาแย้งแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาจนหมด เพราะถ้าไม่พูดก็ยังอาจจะหลอกตัวเองได้ หากพูดออกมาเมื่อไหร่…ก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้อีกแล้ว
“นี่คุณครับ กลางค่ำกลางคืนขนาดนี้ถึงจะได้ยินเสียงอะไรคุณก็ไม่ควรออกมาเดินข้างนอกนะ”
เธออยากจะบอกนักว่าเธอไม่ได้อยากออกมา เพียงแต่รู้สึกตัวอีกทีก็มายืนอยู่ที่นี่แล้ว ทว่าก็กลัวอีกฝ่ายจะหาว่าโตจนอายุปูนนี้แล้วยังนอนละเมออีกจึงเสกล่าวไปว่า
“ทีคุณยังกลับมาที่พักซะเวลานี้เลย”
“ผมเต็มใจกลับมาเวลานี้ ไม่ใช่คนที่เข้าใจว่าตัวเองถูกเรียกแล้วออกมายืนอยู่คนเดียวซะหน่อย ไม่เคยมีใครบอกคุณเหรอ กลางค่ำกลางคืนใครเรียกอย่าขานรับ…ถ้ามีอะไรค้างคาใจพรุ่งนี้เช้าค่อยถามคนอื่นให้หายข้องใจก็ได้”
คิ้วเรียวของหญิงสาวขมวดทันทีกับคำต่อว่ากลายๆ นั้น