“พระนามหลังสิ้นพระชนม์ของอดีตหวัง” ซื่อเหรินฉวีมองตัวอักษรที่เธอใช้ถ่านไม้เขียนลงบนกระดาน แล้วกล่าวด้วยความแปลกใจ หญิงประหลาดผู้นี้ถามอะไรไม่ถาม มาถามพระนามในศาลบูชาของอดีตหวัง เขารู้สึกเหนือความคาดหมาย แต่ยังคงรับถ่านไม้มาแล้วเขียนตัวอักษร ‘มู่’ ลงไป
เชียนโม่มองตัวอักษรตัวนั้น ในใจดุจเมฆคล้อยเคลื่อนออกไปแลเห็นดวงอาทิตย์
ฉู่มู่หวัง
ในสมัยโบราณ เมื่อประมุขแห่งแว่นแคว้นสิ้นพระชนม์ลงจะได้รับการตั้งพระนามที่จะใช้ในศาลบูชา คนในยุคหลังก็จะเรียกพวกเขาด้วยพระนามในศาลบูชา แคว้นฉู่เริ่มจากอู่หวัง ไม่ใช้บรรดาศักดิ์ตามราชวงศ์โจวอีก หากแต่ตั้งตนขึ้นเป็นหวัง ประมุขแคว้นลำดับถัดมาล้วนมีพระนามในศาลบูชา เชียนโม่จำได้ ฉู่มู่หวังชื่อเสียงไม่ดีนัก เพราะเขาสังหารบิดาตัวเองเพื่อขึ้นเป็นหวัง และผู้เป็นประมุขต่อจากมู่หวัง ก็คือ…จวงหวัง
เชียนโม่ทึ่มทื่อ
ฉู่จวงหวังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ต่อให้เป็นคนที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้ไม่ดีก็ต้องรู้เรื่องของเขาสักเรื่องสองเรื่อง
ที่ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีก็คือคำกล่าวแต่โบราณที่ว่า ‘ครั้นร้องผู้คนตกใจ’*
มีพระราชาหนุ่มคนหนึ่ง ทุกวันหมกมุ่นอยู่กับการเสพสุข ไม่ถามไถ่เรื่องบ้านเมือง วันหนึ่งขุนนางใหญ่คนหนึ่งถามเขาว่ามีนกใหญ่ตัวหนึ่ง สามปีไม่เคยขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ไม่บินไม่ส่งเสียงร้อง นี่คือนกอะไร พระราชาบอกว่านกใหญ่ตัวนี้ก็แค่ไม่บิน พอบินทีก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็แค่ไม่ร้อง ร้องทีก็ทำให้คนตื่นตะลึง
วจนะนี้มีที่มาสองแห่ง อันแรกมาจากฉีเวยหวัง อีกอันก็คือฉู่จวงหวัง สมัยที่เชียนโม่ยังเด็ก คุณปู่เล่าให้เธอฟังเหมือนเล่านิทานเช่นนั้น เชียนโม่ยังจำได้ ในฉบับของฉู่จวงหวัง ขุนนางใหญ่ที่กล่าวตักเตือนผู้นั้นชื่อว่าอู่จวี่…
‘อู่ต้าฟูผู้นี้มีชื่อสกุลหรือไม่’
‘ไม่รู้ รู้เพียงผู้อื่นเรียกเขาว่าอู่ต้าฟู’
เชียนโม่พลันนึกถึงขุนนางใหญ่ข้างกายฉู่หวังผู้นั้น อดตะลึงงันไม่ได้
ซื่อเหรินฉวีเห็นนางสีหน้าแปลกประหลาดก็ลอบคิดว่าหญิงผู้นี้คงป่วยจนโง่งมไปแล้ว จึงส่ายหน้าแล้วเดินออกไป
ซังเดินเข้ามา คลำๆ หน้าผากนาง พูดจีลีกูลูอะไรมากมาย แล้วประคองเธอกลับไปนอนพักบนเตียง
เชียนโม่นอนคว่ำอยู่บนที่นอน ยังคงมีนิทานเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในสมอง
เธอจำได้ว่าฉู่จวงหวังผู้นั้น ผลงานที่ทำให้คนสนใจที่สุดของเขาก็คือการปกครองบ้านเมืองและการทหาร เขาทำศึกตลอดชีวิต ต่อต้านแคว้นจิ้นที่อยู่ทางตอนเหนือ เป็นหนึ่งในห้าเจ้าผู้ครองแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยชุนชิว* แต่เรื่องละเอียดกว่านี้เชียนโม่กลับจำไม่ได้แล้ว ในใจของเธออดนึกเสียดายไม่ได้ ปีนั้นตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย คุณปู่เคยถามเธอว่าจะเรียนประวัติศาสตร์หรือไม่ เดินตามเส้นทางการศึกษาวิจัยของท่าน แต่เชียนโม่รู้สึกว่าตนมีความสนใจไม่มากพอ สุดท้ายเมื่อดูคะแนนรวมและเป้าหมายในอนาคต เธอก็ตัดสินใจเลือกเรียนบัญชี
ฉู่จวงหวัง ฉู่จวงหวัง…เชียนโม่ท่องคำสามคำนี้ นึกถึงคำยกย่องสรรเสริญต่างๆ ในภายหลังว่าเขามุมานะบากบั่นต่อสู้เพื่อสร้างความเข้มแข็งเกรียงไกรยิ่งขึ้น มีสติปัญญาอันเฉียบแหลมและแผนการอันล้ำลึกพลางนึกถึงคนผู้นั้น แล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ คนที่เชี่ยวชาญการวางแผนในใจย่อมสามารถทำงานใหญ่ให้ประสบความสำเร็จได้ ข้อนี้เธอไม่มีอะไรต้องสงสัย ทว่าจะให้เธอแสดงท่าทียกย่องเขาเช่นที่เขียนไว้ในหนังสือเห็นจะยาก
* มาจากคำกล่าวเต็มว่า ‘ไม่ร้องก็ตามทำเนา ครั้นร้องผู้คนตกใจ’ อุปมาถึงคนที่ปกติใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่พิสดาร แต่เมื่อใดที่เคลื่อนไหวขึ้นมาสามารถทำให้ผู้คนตกตะลึงได้
* ห้าเจ้าผู้ครองแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยชุนชิว ได้แก่ ฉีเหิงกง ซ่งเซียงกง จิ้นเหวินกง ฉู่จวงหวัง และฉินมู่กง บางตำราก็กล่าวถึงอู๋หวังฟูไช อู๋หวังเหอหลีว์ และเยวี่ยหวังโกวเจี้ยน