บทที่ 8…ปราสาทของเจ้าชายอสูร
เพลงพิณกับคณะอันประกอบด้วยบอดี้การ์ดสี่คนและผู้ช่วยสองคนมาถึงเกาะมิครอสทางด้านตะวันออกในช่วงเย็น เรือซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทเดินเรืออันเกลอสใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงกว่าจะมาถึงท่าเรือที่อ่าวด้านล่างผาสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวปราสาท เพลงพิณซึ่งใช้เวลาบนเรือให้เป็นประโยชน์ด้วยการสอบถามข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขออนุญาตตกแต่งและบูรณะปราสาท รวมถึงวางแผนงานคร่าวๆ กับผู้ช่วยส่วนตัวถึงกับหน้าแหยเมื่อเห็นโขดหินมากมายและคลื่นที่ม้วนตัวกระแทกหินเหล่านั้นจนเกิดฟองคลื่นกระฉอกฉาน
ถ้าคนบังคับเรือไม่มีความชำนาญและไม่รู้ร่องน้ำแถวนี้ดีล่ะก็ คงได้ตายยกลำกันก็คราวนี้…ไม่รู้เลยว่าระหว่างขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่เธอกลัวนักหนากับนั่งเรือนี่ ทางไหนจะปลอดภัยกว่ากัน…คนตัวเล็กในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดสีสดคิดและทำหน้าหวาดเสียวขณะมองภาพหน้าผาสูงที่ใกล้เข้ามา
จากท่าเทียบเรือมีสะพานยาวไปจนถึงตัวหาด คนงานชายสี่ห้าคนจากปราสาทมายืนประสานมือรออยู่แล้ว ทันทีที่เรือจอด ทั้งหมดก็ช่วยกันลำเลียงข้าวของสัมภาระของเพลงพิณที่ขนมาจากเมืองไทยและซื้อใหม่เมื่อช่วงเช้าในห้างหรูของเอเธนส์
เพลงพิณช่วยหิ้วของทั้งที่ทีมของเธอพากันคัดค้าน หญิงสาวเดินมาตามสะพานจนมาถึงตัวหาดที่เป็นทรายหยาบๆ สีดำปนกรวด ก่อนจะตรงไปยังทางเล็กๆ ซึ่งเป็นทางลดเลี้ยวเลียบเขาตรงขึ้นสู่เชิงเขาเหนืออ่าวซึ่งคนงานรายงานว่าจะมีรถมารอรับ…กันดารได้ใจจริงๆ เพลงพิณนึกอยู่ในใจ แต่เธอซึ่งชื่นชอบกีฬาทั้งขี่ม้า ว่ายน้ำและออกกำลังกายโดยการเต้นเสมอถือว่าเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ
ทั้งคนทั้งข้าวของมาถึงเชิงเขาซึ่งเป็นต้นทางของถนนที่จะขึ้นไปสู่ปราสาทก็พบรถสเตชั่นแวกอนกับรถกระบะสองคันจอดอยู่ หลังจากนั้นไม่กี่นาทีการเดินทางโดยรถก็เริ่มต้นขึ้น โดยถนนเป็นถนนดินธรรมดาๆ ที่มีความกว้างเพียงเลนเดียว รถไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยความชำนาญของคนขับ สักพักหนึ่งราวยี่สิบนาที เพลงพิณก็เห็นสถานที่อยู่และสถานที่ทำงาน…เอ่อ หรือจะพูดให้ถูกก็คือสถานที่จะแสดงฝีมือการออกแบบตกแต่งของเธอต่อคนทั้งโลก…ได้ชัดเจนขึ้น และหญิงสาวก็ห่อปากพร้อมกับถอนหายใจ
สิบนาทีต่อมารถก็ชะลอความเร็วที่ด้านนอกกำแพงปราสาทที่เริ่มผุพังเป็นบางส่วน…จุดสังเกตนี้ทำให้สถาปนิกสาวคิดว่าผู้สร้างปราสาทหลังนี้เมื่อราวๆ ห้าร้อยปีก่อนคงจะทะนงในชัยภูมิที่ตั้งปราสาทซึ่งอยู่บนยอดผาที่สูงชันเหนือผืนน้ำทะเลกว้าง จึงไม่ลงทุนกับกำแพงปราสาทที่ปกติต้องหนาเป็นฟุตๆ และแข็งแรงมากเพื่อป้องกันการโจมตี
ด้วยความที่ด้านนี้เป็นด้านทิศตะวันออกของเกาะ เพราะฉะนั้นแม้จะเหลือเวลาอีกราวชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะลับหายไปหมด แต่บรรยากาศก็เริ่มสลัวลงมาก ปราสาทหินสีเทาทึมๆ ที่ถูกพืชไม้เลื้อยหลายพันธุ์เลื้อยเกาะ แต่ก็พอมองเห็นรูปทรงว่าเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีเชิงเทินโดยรอบกับหอคอยแบบยอดตัดสี่ทิศเลยดูน่ากลัวราวกับปราสาทร้าง…หรือไม่ก็ปราสาทของผีดิบดูดเลือดไร้รสนิยม
รถทั้งสามคันทยอยกันแล่นผ่านสะพานเหล็กซึ่งเชื่อมส่วนที่เป็นคลองขุดรอบปราสาทที่ตอนนี้แห้งขอดกับพื้นที่ตัวปราสาทด้านในที่ยังมีกำแพงชั้นในอีกที ประตูเหล็กเปิดรอท่าอยู่แล้วทั้งสองบาน รถทั้งสองจึงแล่นเข้าไปจอดยังลานดินกว้างหน้าตัวปราสาท ซึ่งตรงทางขึ้นเป็นทางเดินลดหลั่นกันเป็นขั้นบันไดทำจากหินอ่อน
เพลงพิณลงจากรถโดยไม่รอคนเปิดประตูให้ หญิงสาวยิ้มรับเหล่าคนงานที่มายืนเข้าแถวรอรับที่ลานกว้างหน้าปราสาท ก่อนจะหันมาหาบอดี้การ์ดและผู้ช่วยทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆ