บทที่สาม
มู่หวั่นชิวตักอาหารหมูมาจนเต็มตะกร้า แล้วแบกกลับมาอย่างยินดี ในตะกร้านอกจากพวกผักโขมและผักโขมหินที่หมูกินแล้ว นางยังเด็ดดอกไม้มากองหนึ่ง คิดว่าจะกลับไปลองดูว่าจะนำไปแช่ขี้ผึ้งได้หรือไม่ ในตำราวิชาการปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยพูดถึงการย่าง คั่ว อบ บดละลายน้ำ และอื่นๆ ซึ่งนางไม่เข้าใจแม้แต่น้อย มีเพียงการใช้ของเหลวที่ได้จากการแช่ดอกไม้มาทำเป็นขี้ผึ้งที่นางยังพอเข้าใจได้บ้าง
บนเขาก็มีดอกไม้ขึ้นเต็มไปหมด นางเองยังมีเวลาในการทดลอง
หากสำเร็จจริง เมื่อแลกเป็นเงินมาได้ แม้เพียงแค่น้อยนิด ก็จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ของหม่าจู้เอ๋อร์ได้บ้าง อย่างน้อยนางก็มิใช่คนอยู่นิ่งที่เอาแต่นั่งกินนอนกิน
“พี่จู้จื่อ” เจอหม่าจู้เอ๋อร์เข้ากลางทาง มู่หวั่นชิวก็มีใบหน้าเบิกบานราวดอกไม้ หม่าจู้เอ๋อร์รักนางมาก แม้ว่านางจะมีรูปร่างเล็ก แต่ก็เคยฝึกการต่อยเตะจากอาจารย์สอนวรยุทธ์มาบ้าง แบกผักแค่นี้ไม่นับว่าหนักอะไร แต่หม่าจู้เอ๋อร์ก็ไม่วางใจ ขอเพียงเขาไม่มีงาน ก็มักจะออกมารับนางเสมอ สองมือของมู่หวั่นชิวแบกตะกร้า ก่อนยิ้มเดินเข้าไปหา “พี่จู้จื่อมารับข้าอีกแล้วหรือ ข้าไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย”
หม่าจู้เอ๋อร์รับตะกร้าที่นางแบกไว้บนหลังอย่างเงียบๆ สีหน้ากลัดกลุ้มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“พี่เป็นอะไร” มู่หวั่นชิวรับรู้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติได้รางๆ นางจึงหยุดยืนนิ่งในทันใด
“เดินไปทางนี้” หม่าจู้เอ๋อร์แบกตะกร้าขึ้นหลัง แล้วดึงมือนาง เดินไปตามทางลาดเล็กๆ หลังเขาโดยไม่พูดอะไร
“พี่จู้จื่อ” หม่าจู้เอ๋อร์จูงมือนางเป็นครั้งแรก มู่หวั่นชิวขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่ามือของหม่าจู้เอ๋อร์มีแรงมาก จึงยอมแพ้ในที่สุด ปากก็ยังถามไม่หยุดว่า “พี่จู้จื่อจะพาข้าไปที่ใดหรือ”
จนกระทั่งไปถึงทางเล็กร่มรื่นที่อยู่หลังเขาแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์จึงหยุดเดิน หลังจากวางตะกร้าลง เขาก็จ้องหน้ามู่หวั่นชิวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวไปหยิบห่อผ้าสีฟ้าห่อหนึ่งหลังต้นไม้ใหญ่ออกมายื่นให้นาง
“เดินไปตามทางเส้นนี้ ข้ามเขาสองลูกก็จะเป็นทางหลวง ท่านพ่อบอกว่าเดินตามถนนใหญ่ไปทางตะวันตก ก็จะเจอเมืองผิงเฉิง เจ้า…” เขากลืนน้ำลายลงคออย่างแรง “รีบไปเถอะ!”
“พี่จู้จื่อ!” มู่หวั่นชิวเรียกด้วยเสียงเศร้าสลด ใบหน้าเล็กซีดขาวในทันที “พี่จู้จื่อไม่ต้องการข้าแล้วหรือ ท่านอากับอาหญิงก็ล้วนไม่ต้องการข้าแล้ว?!” นางคว้าตัวหม่าจู้เอ๋อร์เอาไว้ “พี่บอกเองมิใช่หรือว่า ขอเพียงข้ายินดี จะอยู่ไปชั่วชีวิตก็ได้”
เมื่อมีความอบอุ่นของครอบครัวแล้ว นางก็กลัวเหลือเกินที่จะต้องเดินไปอย่างโดดเดี่ยว อยู่ในป่าเขาลูกใหญ่กับชีวิตระหกระเหิน เรียกฟ้า ฟ้าไม่ขานรับ เรียกดิน ดินไม่ขานตอบเสียอย่างนั้น แม้ว่าจะต้องไป ก็ต้องให้เวลานางเตรียมตัวบ้างจึงจะถูก!
“ข้า…” หม่าจู้เอ๋อร์อดกลั้นจนหน้าแดง ในดวงตาดำเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสิ้นหวัง เขาสะบัดมือมู่หวั่นชิวออกทันใด แล้วโน้มตัวลงหยิบดินขึ้นมากำมือหนึ่งป้ายไปบนหน้านาง “ท่านแม่กำชับข้าว่า ใบหน้าของเจ้าทำให้คนคิดไม่ดีได้ง่ายที่สุด ให้ข้าทาขี้เถ้าให้เจ้า”
“พี่จู้จื่อ…” มู่หวั่นชิวผลักเขาออก เห็นเขาตะลึงไป ก็จับแขนเขาไว้อีกครั้ง “พี่จู้จื่อบอกข้าสิ ทำไมกัน”
“มีขุนนางใหญ่สองคนในชุดสีน้ำเงินเข้มขลิบแดง สวมหมวกสูงใบโตเพิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน” สะบัดมือมู่หวั่นชิวแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็ปัดผงฝุ่นบนมือไปบนเสื้อผ้า แล้วแสดงท่าทาง “พวกเขาบอกว่ากำลังตามหาบุตรสาวขุนนางต้องโทษที่หลบหนีคนหนึ่งอยู่ ทั้งยังถามคนในหมู่บ้านว่ามีคนแปลกหน้ามาบ้างหรือไม่”
เป็นพวกมือปราบ!
ฟังคำบรรยายของหม่าจู้เอ๋อร์แล้ว มู่หวั่นชิวก็สั่นเหมือนถูกฟ้าฟาดไปทั่วร่าง นางยืนโงนเงน แทบจะล้มทั้งยืน ทว่ากลับถูกหม่าจู้เอ๋อร์ประคองเอาไว้
“คนในหมู่บ้านพูดว่าอย่างไร” มู่หวั่นชิวสงบจิตใจลงได้บ้างแล้ว นางจึงฝืนตัวเองถามอย่างสงบนิ่ง
“คนในหมู่บ้านล้วนพูดว่าเจ้าก็คือบุตรสาวขุนนางต้องโทษคนนั้น…” เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ “หัวหน้าหมู่บ้านบีบให้ท่านพ่อท่านแม่มอบตัวเจ้าออกไป”
“ข้า…” มู่หวั่นชิวพูดไม่ออก นางเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษจริงๆ
แต่ในจิตใต้สำนึก นางไม่อยากให้ครอบครัวหม่าจู้เอ๋อร์รู้ชาติกำเนิดที่ไม่ดีของนางเลยสักนิด
“คนในหมู่บ้านล้วนพูดกันว่า หากเจ้าถูกจับกลับไป ไม่ตายก็ต้องถูกลงโทษอย่างหนัก จากนั้นจะต้องถูกส่งเข้าไปในซ่อง เป็นนาง…นางอะไรนะ…” หม่าจู้เอ๋อร์เกาหัว “ท่านแม่บอกว่าที่นั่นเป็นสถานที่ต่ำทรามอย่างมาก เป็นสถานที่ที่สตรีถึงแม้ต้องตายก็ให้ไปไม่ได้!”
นางโลมขุนนาง!
มู่หวั่นชิวราวกับถูกสูบเลือดไปในทันใด แม้แต่ริมฝีปากก็ยังซีดขาว นางรู้สึกราวกับฟ้าดินหมุนวน ดีที่จับมือของหม่าจู้เอ๋อร์ไว้แน่นจึงมิได้ล้มลงไป