ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 1
ถูกความเจ็บทำให้ตกใจตื่น เจิงฝานซิวพลันจับกระบี่ข้างกายเอาไว้
“อย่าขยับ พี่ได้รับบาดเจ็บมา ถ้าไม่รักษาให้ทันเวลาแขนข้างนี้จะพิการได้” มีเสียงราวนกน้อยดังมาทางด้านหลัง
เจิงฝานซิวร่างแข็งเกร็ง ผ่านไปนานเขาจึงเผยอริมฝีปากที่แห้งผาก “แม่นางไป๋หรือ” แล้วถามอีกว่า “เจ้าตามมาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้า…” มู่หวั่นชิวมือชะงักไป แล้วพูดขึ้นอย่างคลุมเครือ “ได้รับจดหมายของพี่เจิงแล้ว รออย่างไรท่านก็ไม่มา ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์จึงแยกย้ายกันตามหา พี่เจิงเจอเข้ากับใครจึงได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้” นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ไม่ได้ยินเสียงจึงพูดอีกว่า “ข้างมือพี่มีสุราอยู่ ถ้าพี่เจิงเจ็บก็ดื่มสักสองสามอึกเถอะ ข้ากำลังจะใช้ใยต้นหม่อน* เย็บบาดแผลให้พี่”
หันหน้าไป เจิงฝานซิวจึงพบว่าข้างมือมีน้ำเต้าสุรากระเบื้องเคลือบเล็กที่ประณีตหนึ่งอัน ขณะเดียวกัน ก็พบว่าตนเองกำลังเปลือยอกจนถึงท่อนแขน ร่างนั้นแข็งเกร็ง นางรักษาบาดแผลให้ข้าเช่นนี้ ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ต่อไปนางจะไปแต่งงานกับใครได้อย่างไร
ด้วยไม่รู้ถึงความคิดในตอนนี้ของเจิงฝานซิว เพียงรู้สึกกล้ามเนื้อของเขาเกร็งตัวแน่น คิดว่าเขากำลังเจ็บมาก มู่หวั่นชิวจึงหยุดการกระทำ “พี่เจิงผ่อนคลายลงสักหน่อย ถ้าเจ็บก็ดื่มสุราสักสองสามอึก”
กล้ามเนื้อแข็งเกร็งเช่นนี้ นางลงเข็มไม่ได้แน่
“ประคองข้าขึ้นมา” เจิงฝานซิวประคองตัวจะลุกขึ้นด้วยมือข้างเดียว
“แผลคมมีดของพี่เจิงยาวเกินไป ขยับได้ยาก” นางคิดว่าเขานอนคว่ำอย่างนี้ นางเย็บแผลให้เขาได้ง่ายกว่า
เจิงฝานซิวขบกราม ก่อนจะหยัดพื้นด้วยมือเดียว พยายามจะลุกนั่ง
เข็มในมือแทบจะปักไปบนแผ่นหลังของเขา มู่หวั่นชิวจึงตะโกนเสียงดัง “พี่ขยับช้าๆ หน่อย ข้าจะประคองพี่เอง!”
มู่หวั่นชิวใช้ฟันกัดใยต้นหม่อน กลั้นลมหายใจขณะประคองเจิงฝานซิวขึ้นนั่ง แล้วคุกเข่าตรงด้านหลังเขา “เช่นนี้ก็ดี บาดแผลเห็นได้ชัดเจนจะลงเข็มได้ง่าย”
“เจ้าออกไป” เจิงฝานซิวเสียงเย็นราวน้ำแข็ง เขากำลังเปลือยอกจนถึงท่อนแขน ในตอนนี้หากมีใครเข้ามาเห็นเข้า เกรงว่าชื่อเสียงของนางจะเสียหาย!
เพราะอยู่เมืองผิงเฉิงมาตลอด เจิงฝานซิวจึงยังไม่รู้ว่าชื่อเสียงของมู่หวั่นชิวถูกหร่วนอวี้ทำลายไปจนสิ้นนานแล้ว เขาไม่เหมือนหลีจวินที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ แต่เขากลับป้องกันความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอย่างเคร่งครัด กระทั่งกลายเป็นแสดงออกไปทื่อๆ เช่นนี้
“ออกไปหรือ” มู่หวั่นชิวตกตะลึง จากนั้นจึงพูดว่า “ข้าออกไปแล้วใครจะเย็บบาดแผลให้พี่เล่า” ในใจพึมพำต่อว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บนี่ไร้เหตุผลสิ้นดี!
ที่หัวไหล่มีความเจ็บปวดส่งผ่านมา เจิงฝานซิวจึงขบกรามแน่น “บาดแผลของข้าไม่ต้องให้เจ้าเย็บหรอก เจ้ารีบออกไป!” รับรู้ว่าแผ่นหลังของเขาแข็งเกร็งมากขึ้น บรรยากาศพลันตึงเครียด ใจของเขาก็อ่อนยวบลง จึงผ่อนน้ำเสียงลงในที่สุด “ออกไปเรียกโม่อวี่เข้ามา”
โม่อวี่หายไปอย่างไร้ข่าวคราว แม้แต่โม่เสวี่ยก็หายตัวไปอีกคน เขาจะให้นางไปหาคนจากที่ใดอีก
คิดถึงชื่อเสียงของตนเองที่ถูกหร่วนอวี้ทำลายไป มู่หวั่นชิวก็รู้สึกปวดใจ แอบคิดในใจว่าเขาคิดว่าที่ข้าไม่หลบเลี่ยงความเข้าใจผิดเช่นนี้ ถือเป็นคนที่ไม่รู้ยางอายอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่ไม่รู้ยางอาย แต่เพราะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าชาตินี้จะไม่แต่งงานกับใครจึงไม่มีอะไรให้ห่วง
ถ้าใจใสสะอาดจะกลัวอะไรกับโคลนตม
“บาดแผลของพี่เจิงหนักถึงเพียงนี้ ถ้ายังไม่ทำแผลอีกเกรงว่าแขนข้างนี้ต้องพิการแน่นอน” สะกดความเจ็บปวดในใจแล้ว มู่หวั่นชิวก็พยายามทำให้เสียงพูดฟังดูราบเรียบ “พี่เจิงวางใจได้ ข้าเย็บเสร็จแล้วก็จะไป”
ไม่รู้เพราะเหตุใดทั้งที่ได้ยินเสียงนางราบเรียบเป็นปกติ แต่เจิงฝานซิวกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดล้นฟ้าปกคลุมรอบตัวเขา ทำให้เขาทนไม่ไหวอยากเข้าไปเยียวยา อยากไปปลอบขวัญ ตรงหน้าปรากฏภาพในวันนั้นที่โม่อวี่บังคับให้หลีจวินแต่งงานกับนาง เจิงฝานซิวก็ใจสั่น ใช่แล้ว จากท่าทีของข้า นางคงคิดไม่ถึงว่าข้ากำลังคิดเผื่อนาง กลัวจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง คิดว่าข้าก็เหมือนหลีจวินที่ดูถูกนาง ความคิดนี้แล่นผ่าน เขาก็กลืนคำพูดที่ทะลักมาถึงปลายลิ้นลงไป
เมื่อคิดได้แล้ว เจิงฝานซิวก็แอบหมิ่นตนเองในใจ อยู่ในสภาพอย่างนี้แล้ว ถ้าชื่อเสียงของนางจะเสียหายก็คงถูกข้าทำเสียหายไปแล้วกระมัง แม้ตอนนี้จะหลบเลี่ยงก็เป็นเพียงการปิดหูขโมยกระดิ่งเท่านั้น เขาแอบทอดถอนใจ ช่างเถอะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็แต่งงานกับนางเลยแล้วกัน
ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เจิงฝานซิวจึงผ่อนคลายร่างลง เขายื่นมือไปหยิบน้ำเต้าสุรามา ใช้ฟันกัดจุกออก ดื่มกรึ๊บๆ จากนั้นก็หลับตาลง ปล่อยให้มู่หวั่นชิวเย็บแผลเขาไปทีละเข็ม
ในความเงียบงันนี้เวลาค่อยๆ ไหลไปตามมือของมู่หวั่นชิวที่เย็บไปทีละเข็ม
กระทั่งเย็บเข็มสุดท้ายเสร็จ บนหัวมู่หวั่นชิวก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ นางกัดปลายใยต้นหม่อนจนขาด แล้วยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อ มู่หวั่นชิวหันไปมองแผลที่ตนเองเย็บบิดเบี้ยวเหมือนตะขาบนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา “ข้าทำงานฝีมือไม่เป็นตั้งแต่เด็ก เย็บได้ไม่น่าดูเสียเลย เกรงว่าหลังจากบาดแผลพี่หายแล้ว รอยแผลเป็นนี้จะต้องออกมาน่าเกลียดมากแน่”
มีชีวิตผ่านมาแล้วสองชาติ นางมีความสามารถพิเศษมากกว่าคนอื่นมากมายนัก แต่กลับทำงานฝีมือและทำอาหารไม่เป็น ซึ่งเป็นความสามารถสองอย่างที่คนเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่ดีควรจะมี ในใจจึงแอบเยาะเย้ยตนเอง ต่อให้มีชีวิตอีกกี่ชาติ สวรรค์ก็ไม่ยอมให้ข้าได้เป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่ดีสินะ!
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกอิจฉาหญิงสาวที่มีชีวิตเรียบง่ายเหล่านั้น แม้จะปรุงเครื่องหอมไม่เป็น ไม่มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษ แต่กลับได้เป็นภรรยาที่มีความสุข
“ถ้ารอยแผลเป็นนี้น่าเกลียดเกินไปจนข้าแต่งภรรยาไม่ได้ แม่นางไป๋ก็แต่งงานกับข้าเถอะ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าข้าคงต้องอยู่ตัวคนเดียวไปทั้งชาติแล้ว” เจิงฝานซิวหัวเราะเสียงสดใส กึ่งล้อเล่นให้สัญญาว่าจะแต่งงานกับนาง
แต่งกับเขา?
มือของมู่หวั่นชิวที่ถือขวดยาชะงักอยู่ตรงนั้น เวลาผ่านไปครู่ใหญ่จึงก้มหน้าลงทายาให้เขาต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปากก็พูดหยอกล้อ “ข้าน่ะ ชาตินี้ไม่คิดจะแต่งงานกับใคร ถ้าภายหน้าพี่เจิงแต่งภรรยาไม่ได้จริงๆ พวกเราก็หนีไปอยู่ในเขาลึก สร้างบ้านอยู่ใกล้กัน ดูแลกันไปจนแก่เฒ่าก็พอ”
ไม่ว่าจะเป็นคำขอแต่งงาน ให้นางแต่งให้กับผู้อื่น เป็นภรรยาที่ดี หรือแม่ที่ดีนั้น สำหรับนางแล้วล้วนเป็นคำร้องขอที่มากเกินไป
ในชาตินี้นางไม่มีความสามารถพอจะไปรักใครคนหนึ่งทั้งใจอีกแล้ว
นางบอกว่านางจะไม่แต่งกับใคร!
เพราะความบริสุทธิ์ถูกตนเองทำลายไปหรือ หรือเพราะหลีจวิน?
คิดถึงท่าทีแข็งกร้าวของหลีจวินในอดีต เจิงฝานซิวก็หัวใจเต้นรัว เขาเรียกนางอย่างขมขื่น “แม่นางไป๋…” พยายามจะหมุนตัวกลับมามองหน้าของนาง
“พี่อย่าขยับตัว” มู่หวั่นชิวห้ามเขา “บาดแผลเย็บได้ไม่ดีไปแล้ว ยานี้ยังใส่ไม่ดีอีก ถ้ากลายเป็นหนองจนทำให้แขนข้างนี้พิการขึ้นมา เกรงว่าพี่คงจะแต่งภรรยาไม่ได้จริงๆ แล้ว!”
รู้สึกว่าผิวใต้ฝ่ามือเกร็งตัวในทันใด มู่หวั่นชิวก็ขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยปาก เสียงพูดอย่างอึดอัดใจก็ดังมาเข้าหู
“น้องหลี” เห็นหลีจวินจับจ้องมู่หวั่นชิวที่อยู่ด้านหลังตนเอง เจิงฝานซิวจึงพูดเสริมอีกประโยค “นางกำลังทำแผลให้ข้า”
หลีจวิน!
เขากลับมาแล้ว?
* ผู้กล้าตัดข้อมือ มาจากสำนวน ‘งูพิษฉกมือผู้กล้าตัดข้อมือ’ หมายถึงบุรุษที่มีความเด็ดขาด ถึงคราวคับขันย่อมกล้าเสียสละส่วนน้อยรักษาส่วนมากโดยไม่ลังเล
* ไม่กลัวโจรขโมยแต่กลัวโจรหมายตา หมายถึงเมื่อไม่รู้เจตนาของอีกอีกฝ่ายก็ยิ่งเกิดความหวาดระแวง การที่โจรได้ของที่ขโมยไปแล้วถือว่าเรื่องราวได้เกิดขึ้นและจบลง เมื่อเวลาผ่านไปก็จะลืมเหตุการณ์ไปเอง แต่หากถูกโจรหมายตาโดยไม่รู้ว่าจะลงมือเมื่อไร จะขโมยอะไร ก็ยากที่จะป้องกันและต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง
* ปลาเค็มพลิกตัว เป็นสำนวน หมายถึงผู้ที่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วหลังจากผ่านสถานการณ์ยากลำบาก
* เทศกาลฉงหยาง คือวันที่เก้าเดือนเก้าตามจันทรคติจีน โดยสมัยโบราณถือว่าเลขเก้าคือเลขที่มีพลังกล้าแกร่งเรียกว่าเลขหยาง จึงเรียกชื่อวันที่มีเลขเก้าสองตัวว่าฉงหยาง (หยางซ้อน) และถือเป็นวันผู้สูงอายุ ในวันนั้นผู้คนจะชื่นชมดอกเบญจมาศและเดินขึ้นเขาหรือที่สูงเพื่อดื่มสุราชมทิวทัศน์ ถือเป็นเสมือนการหลบภัย หากขึ้นเขาไม่ได้ก็กินขนมฉงหยางเกา โดยคำว่า “เกา” ที่แปลว่าขนมมีเสียงคล้ายคำว่า “สูง”
* ‘ใยต้นหม่อน’ เป็นเส้นใยที่ได้จากลำต้นของต้นหม่อน โดยลอกเปลือกสีเหลืองภายนอกออกให้เหลือแต่ผิวชั้นที่เป็นเส้นใยสีขาวบริสุทธิ์ นำมาทุบและแปรรูปจนกลายเป็นเส้นใยเล็กๆ ในตำราแพทย์จีนใยชนิดนี้มีความยืดหยุ่นและช่วยระบายความร้อนขับพิษ ทำให้บาดแผลสมานตัวได้เร็วขึ้น
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 17 กุมภาพันธ์ค่ะ)