แม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่ในเขารกร้างก็ไม่สะดวกที่จะพักผ่อน เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและกินอาหารเรียบร้อย คนทั้งหมดจึงพากันออกเดินทาง
หากเดินทางไปกลางหุบเขาจะไม่นานเท่าใด แต่เมื่อเดินอ้อมจากด้านนอกนั้นกลับไม่ใกล้ คนทั้งหมดเดินทางรอนแรมกันตลอดทั้งคืน กลับเข้าเมืองต้าเยี่ยก็เป็นเวลาเที่ยงของวันต่อมาแล้ว เห็นหลีจวินส่งมู่หวั่นชิวกลับคฤหาสน์ตระกูลไป๋ โม่เสวี่ยก็กระโจนเข้ามาก่อน “คุณหนูไปที่ใดมาเจ้าคะ บ่าวร้อนใจแทบตายแล้ว” นางพูดพลางน้ำตาไหลพรากลงมา
มู่หวั่นชิวหัวใจเต้นกระตุก “พี่เจิงกลับมาหรือยัง” เจิงฝานซิวก็รู้ความเคลื่อนไหวของนางมิใช่หรือ
“อาจารย์เพิ่งกลับมาบ่ายเมื่อวาน…” โม่เสวี่ยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “อาจารย์ได้รับบาดเจ็บ กำลังพักฟื้นอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหลีเจ้าค่ะ” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล
ดูเหมือนเสวี่ยเอ๋อร์จะไม่รู้ว่าคนที่ช่วยพี่เจิงคือข้า มองดวงตาของโม่เสวี่ย มู่หวั่นชิวก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ เหตุใดเจิงฝานซิวจึงไม่บอกความเคลื่อนไหวของนางให้โม่เสวี่ยรู้ ไยถึงปล่อยให้โม่เสวี่ยกังวลใจอยู่เช่นนี้ เพียงชั่วครู่มู่หวั่นชิวก็เข้าใจทันที แอบคิดว่าใช่แล้ว ข้าอยู่เย็บแผลให้เขาตามลำพังสองคน หากเรื่องนี้ลือออกไปมีแต่จะเสียชื่อเสียง เขาจึงปิดบังแม้กระทั่งเสวี่ยเอ๋อร์ ในใจแอบตื้นตันในความคิดรอบคอบของเจิงฝานซิว ปากก็พูดไปส่งเดช “เห็นเสวี่ยเอ๋อร์ไปทางใต้ ข้ากังวลว่าพี่เจิงจะเดินมาทางเหนือจึงออกไปนอกประตูเมืองทางเหนือ ใครจะรู้ว่ากลับหลงทางเสียได้ โชคดีที่ได้เจอพี่หลี” หางตาแอบชำเลืองไปทางหลีจวินที่ส่งนางกลับมา
หลีจวินกำลังมองนาง ทันทีที่สี่ตาประสานกัน มู่หวั่นชิวก็รู้สึกหวาดหวั่น ทว่ากลับได้ยินเสียงของหลีจวินพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “อาชิวไม่ได้นอนเลยทั้งคืน พักผ่อนให้ดีเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”
ส่งหลีจวินกลับไปแล้ว โม่เสวี่ยก็หันมาถามมู่หวั่นชิว “เหตุใดคุณหนูจึงหลงทางได้ล่ะเจ้าคะ” สั่งให้คนเตรียมน้ำอาบไปพลางประคองนางมานั่งลงบนเก้าอี้ “บ่าวยังคิดว่าท่านถูกใต้เท้าหร่วนจับตัวไปเสียอีก กังวลใจแทบตาย โชคดีที่อาจารย์ขอให้คนตระกูลหลีออกไปตามหาท่านด้วย ให้บ่าวรออีกสักหน่อย” เสียงนางเบาลง
มิเช่นนั้นนางคงไปสอบถามหร่วนอวี้ถึงที่บ้านแล้ว
“อ้อ…” มู่หวั่นชิวทำเป็นไม่รู้เรื่องราว “มิน่าเล่าจึงบังเอิญเจอพี่หลีอย่างนั้น ที่แท้ก็เป็นพี่เจิงที่ไปขอร้องเขานี่เอง” นางเปลี่ยนประเด็นพูดไป “อาการบาดเจ็บของพี่เจิงเป็นอย่างไรบ้าง”
“แผ่นหลังถูกคมมีดเจ้าค่ะ ตอนนี้นายท่านหลีตามหมอเทวดาเก๋อมาแล้ว” โม่เสวี่ยหยดน้ำหอมหญ้าซวินอีในถังอาบน้ำหลายหยด แล้วทดสอบความร้อนของน้ำ จากนั้นจึงหันมาช่วยถอดเสื้อให้มู่หวั่นชิว “หมอเทวดาเก๋อบอกว่าโชคดีที่เย็บแผลได้ทันเวลา ถ้าดึงเวลาไปอีกสักครึ่งชั่วยาม เกรงว่าแขนครึ่งท่อนของอาจารย์คงต้องพิการแน่ ตอนนี้อาจารย์ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นก็ดี” แช่น้ำในบึงที่หนาวถึงกระดูกและรอนแรมมาทั้งคืน พอมู่หวั่นชิวได้แช่อยู่ในน้ำร้อนก็รู้สึกเหมือนได้คลายความอ่อนล้า จึงหลับตาลงอย่างรู้สึกสบายตัว
โม่เสวี่ยช่วยขัดหลังให้นางอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
“อวี่เอ๋อร์ยังไม่ส่งข่าวมาอีกหรือ” มู่หวั่นชิวถามขึ้นช้าๆ ในความเงียบ
โม่เสวี่ยมือสั่น
โม่อวี่ไปที่นั่นสองเดือนแต่ยังคงไร้ข่าวคราว เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นจริงๆ โม่เสวี่ยสะกดความหวาดกลัวในใจ แล้วพูดออกไปว่า “ยังไม่มีเจ้าค่ะ”
เขาต้องเกิดเรื่องแน่นอน!
มู่หวั่นชิวเบิกตาโตในทันใด ประสานเข้ากับความหวาดกลัวที่แวบผ่านในดวงตาของโม่เสวี่ยแล้ว นางจึงกลืนคำพูดคาดเดานั้นลงไป ปากก็พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เขาช่างสะเพร่าเสียจริง ออกไปนานอย่างนี้ยังไม่รู้จักส่งจดหมายกลับมาอีก”
โม่เสวี่ยเม้มปากแน่น วักน้ำร้อนใส่ร่างมู่หวั่นชิวทีละนิด
ผ่านไปครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยปากพูด “พี่หลีรู้จักเมืองอันซุ่นเป็นอย่างดี อีกครู่เจ้าไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลี ให้เขาช่วยสืบให้ที”
โม่เสวี่ยพูดเสียงเบา “อาจารย์ส่งคนไปเมืองอันซุ่นแล้วเจ้าค่ะ”
มู่หวั่นชิวไม่พูดอะไร ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง
แช่น้ำร้อนและขัดถูตัวจนเสร็จแล้ว มู่หวั่นชิวหัวถึงหมอนก็หลับสนิท