หลีจวินยัดตั๋วเงินใส่ท้องแขนเสื้อจั่วเฟิงแล้วก็หัวเราะ “ของขวัญเล็กน้อย ไม่มากอะไรเลย ไว้ให้ใต้เท้าจั่วซื้อสุราให้คนใต้บังคับบัญชาดื่ม” พูดพลางไม่รอให้จั่วเฟิงเอ่ยปาก หลีจวินก็นั่งลงตรงหน้าเขาทันที
ตั๋วเงินหนักอึ้งถูกยัดใส่แขนเสื้อ จั่วเฟิงจึงสบายใจเป็นพิเศษ ดึงสติคืนมาแล้วเขาก็รีบเรียกทหารตรงประตู “ทหาร ยกน้ำชามาให้คุณชายหลี ยกชาชั้นเลิศมา” ทำราวกับหลีจวินเป็นสหายของเขามานานหลายปี ลืมไปจนสิ้นว่าไม่นานก่อนหน้านี้ทั้งสองยังเป็นศัตรูที่ชักกระบี่ง้างธนูใส่กันอยู่เลย
“ใต้เท้าจั่วเกรงใจไปแล้ว” หลีจวินฉีกยิ้มบางๆ
“คุณชายหลีมาพบข้าทั้งที่งานยุ่ง มีธุระอันใดหรือ” รับเงินเขาก็ต้องช่วยสะสางปัญหาให้ หลักการนี้จั่วเฟิงเข้าใจ แต่คิดถึงว่าในคุกยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่เป็นทหารของหร่วนอวี้ พอถามคำถามนี้ออกไป ในใจจั่วเฟิงก็รู้สึกกังวลขึ้นมาบ้าง เขารัดแขนเสื้อไว้แน่นทันที
กลัวว่าในเวลาต่อมาหากหลีจวินได้ยินว่าคดีของมู่หวั่นชิวนั้นเขามิอาจตัดสินใจอะไรได้แล้ว อีกฝ่ายก็จะมาแย่งตั๋วเงินที่เพิ่งให้มากลับไปเสียก่อน
“พูดอย่างไม่ปิดบังใต้เท้าจั่ว ข้าน้อยตั้งใจมาด้วยเรื่องคดีเข้าใจผิดของปรมาจารย์ไป๋” หลีจวินพูดเปิดประเด็นตามตรงอย่างไม่เกรงใจ
จั่วเฟิงสีหน้าเศร้าสลด “พูดไปแล้วข้าก็เป็นศิษย์ของมู่ซี นับว่าเป็นศิษย์พี่ของปรมาจารย์ไป๋ด้วย ไม่ต้องให้คุณชายหลีพูดหรอก หากข้าสามารถดูแลนางได้ข้าก็จะไม่ชักช้า แต่ว่า…” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “คุณชายใหญ่ตระกูลหลีคงไม่รู้กระมัง คดีปรมาจารย์ไป๋นี้มีความสำคัญมาก…”
“ใต้เท้าจั่วถูกคนหลอกลวงแล้ว” จั่วเฟิงพูดยังไม่ทันจบก็ถูกหลีจวินพูดตัดบท “ปรมาจารย์ไป๋ไม่ใช่ลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่ ข่าวลือด้านนอกล้วนเป็นเรื่องเท็จ”
จะเป็นไปได้อย่างไร
จั่วเฟิงกะพริบตา แม้จะไม่เคยเห็นลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่มาก่อน แต่เขาที่เป็นศิษย์ของท่านอัครเสนาบดีก็เคยเห็นมู่ฮูหยิน มู่หวั่นชิวนอกจากมีผิวดำไปสักหน่อยแล้ว หน้าตานั้นราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกับมู่ฮูหยินเลย ทั้งยังงดงามยิ่งกว่า ทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกหวั่นไหว สาบานว่าจะเลี้ยงนางไว้ในเรือนหลัง
เห็นจั่วเฟิงไม่ยอมเชื่อ หลีจวินจึงพูดอีกว่า “ใต้เท้าจั่วเป็นศิษย์ของท่านอัครเสนาบดีมู่ ต้องเคยได้ยินมาแน่นอนว่าลูกสาวคนเล็กของอัครเสนาบดีมู่นั้นมีนิสัยที่ดื้อรั้น ชอบวรยุทธ์เกลียดตำรา มารยาทความเป็นหญิงไม่มีเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร วาดภาพเลย…” เขาเงยหน้าขึ้นมองจั่วเฟิง “ใต้หล้านี้มีคนที่หน้าตาเหมือนกันมากมาย ตามที่ใต้เท้าจั่วดู ทั้งการดีดพิณ การเดินหมากระดับสูงของปรมาจารย์ไป๋ และมารยาทอันงดงามเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ลูกสาวอัครเสนาบดีมู่เทียบได้หรือ”
“เอ่อ…” จั่วเฟิงตัวสั่นกระตุก
ได้ฟังหลิ่วอู่เต๋อบอกว่ามู่หวั่นชิวเป็นลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่ เขาก็นึกได้ว่ารูปโฉมของนางคล้ายมู่ฮูหยินจริงๆ จึงไปจับตัวคนมาโดยไม่ลังเล ตอนนี้ได้หลีจวินเตือนสติ เขาจึงนิ่งเงียบครุ่นคิดขึ้นมาพลางพูดพึมพำกับตนเอง “ทั้งฝีมือและการกระทำของปรมาจารย์ไป๋ก็ไม่เหมือนลูกสาวอัครเสนาบดีอย่างที่ลือกันจริงๆ…” เขาเงยหน้าขึ้นทันใด “ปรมาจารย์ไป๋ปรากฏตัวครั้งแรกที่เมืองผิงเฉิง มีคนไปตรวจสอบดูแล้ว นางเคยชนะพนันหนึ่งล้านตำลึงเพียงชั่วข้ามคืนในบ่อนพนันของที่นั่น หลังจากนั้นเคยส่งสินค้าชุดหนึ่งไปที่หมู่บ้านในเขาไหวอิน สถานที่นั้นเป็นสถานที่ที่ลูกสาวอัครเสนาบดีมู่หายตัวไปในตอนนั้น”
“ใต้เท้าเคยไปตรวจสอบแล้วหรือ” หลีจวินนั่งตัวตรง
“คนทั้งหมู่บ้านล้วนไม่อยู่แล้ว” จั่วเฟิงส่ายหน้าอย่างงุนงง “ถ้าไม่หวั่นเกรงอะไร เหตุใดนางจึงต้องเก็บกวาดจนสะอาดเช่นนี้”
“ตรวจไม่พบหลักฐาน ใต้เท้าจะคาดโทษปรมาจารย์ไป๋ได้อย่างไร”
การพิจารณาคดีจะอาศัยเพียงการคาดเดาไม่ได้ ยังต้องอาศัยหลักฐานที่แท้จริง
“เรื่องนี้…” จั่วเฟิงพูดไม่ออก เขาพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้าอีก “ข้างนอกลือกันไปทั่วว่านางก็คือลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่ ข้าจึงไม่กล้าประมาท” ก่อนจะส่ายหน้าอย่างแรง “ยิ่งไปกว่านั้น…”
ยังไม่ต้องพูดถึงข่าวลือข้างนอกเลย แค่พูดถึงเรื่องที่หร่วนอวี้จับจ้องตาเป็นมัน อย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาปล่อยคนไปตามอำเภอใจได้ เกรงว่าหลีจวินจะรู้ว่าเขาถูกหร่วนอวี้บีบคอเอาไว้จนตัดสินใจเองไม่ได้แล้วจะเรียกเงินสินบนคืนไป เสียงพูดจั่วเฟิงจึงขาดห้วงไป
“ตระกูลหลียินดีใช้เงินมาประกัน ขอใต้เท้าปล่อยปรมาจารย์ไป๋ออกมาเพื่อรอการสอบสวน…” พอนึกถึงนางต้องอยู่ในคุกที่เย็นเยือกเพียงคนเดียว หัวใจหลีจวินก็บีบตัวอย่างเจ็บปวด เจ็บใจที่ตนเองไม่อาจไปนั่งอยู่ในคุกแทนนางได้
ใช้เงินมาประกัน!